มหาวิหารเซนต์ฟรานซิสเริ่มสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 13 เป็นมหาวิหารที่มีด้วยกันสามชั้น ส่วนล่างเริ่มสร้างไม่นานหลังจากที่ฟรานซิสได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักบุญเมื่อปี ค.ศ. 1228 ซิโมเน ดิ พูเชียเรลโล (Simone di Pucciarello) เป็นผู้อุทิศที่ดินและบริเวณเนินเขาทางด้านตะวันตกของเมืองอาซิซิให้เป็นที่สร้างวัด ที่ดินบริเวณนี้แต่เดิมเรียกว่า “เนินนรก” (ภาษาอิตาลี: Collo d'Inferno; ภาษาอังกฤษ: Hill of Hell) แต่ปัจจุบันเรียกกันว่า “เนินสวรรค์” (Hill of Paradise)
สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 9ทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1228 แม้ว่าการก่อสร้างอาจจะเริ่มต้นแล้วก็ได้ ผู้ออกแบบและคุมงานคือหลวงพ่อเอเลีย บอมบาร์โดเน (Elia Bombardone) ผู้เป็นสาวกคนสำคัญของนักบุญฟรานซิสและเคยเป็นผู้สอนศาสนาที่ซีเรีย ชั้นล่างของวัดสร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1230 เมื่อวัน Pentecost ซึ่งเป็นวันฉลอง 50 วันหลังจากอีสเตอร์เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1230 ก็มีการนำร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของนักบุญฟรานซิสจากที่เก็บชั่วคราวที่วัดเซนต์จอร์จซึ่งปัจจุบันเป็นบาซิลิกาเซนต์แคล (Basilica of St. Clare) มาไว้ที่ส่วนล่างของมหาวิหารที่สร้างเสร็จ
มหาวิหารชั้นบนเริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1239 และเสร็จเมื่อ ค.ศ. 1253 ลักษณะการก่อสร้างเป็นแบบโรมาเนสก์ผสมกอธิคฝรั่งเศส ซึ่งเป็นตัวอย่างของการก่อสร้างคริสต์ศาสนสถานลักษณะกอธิคอิตาลีต่อมา
การตกแต่งของมหาวิหารทำโดยศิลปินสำคัญๆ ในยุคนั้นจากโรม ทัสเคนี และ อุมเบรีย ฉะนั้นนอกจากเป็นศาสนสถานสำคัญแล้วมหาวิหารเซนต์ฟรานซิสแห่งอาซิซิจึงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ศิลปะของอิตาลีด้วย ชั้นล่างมีจิตรกรรมฝาผนังของจิตรกรผู้มีชื่อเสียง เช่น ชิมาบูเย และจอตโต ดี บอนโดเน ผู้ซึ่งวาดชั้นบนของมหาวิหารเป็นชีวประวัติของ นักบุญฟรานซิสด้วย
สมเด็จพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 4 ซึ่งอดีตเป็น Minister General ของ ลัทธิฟรานซิสกันได้เลื่อนฐานะของวัดขี้นให้เป็นวัดสันตะปาปาเมื่อ ค.ศ. 1288
จัตุรัสเดลเลลอจเจ (Piazza delle Logge) ที่เป็นลานหน้าวัดและทางเดินไปสู่วัดสร้างเมื่อค.ศ. 1474 ใช้เป็นที่พักพิงของนักแสวงบุญที่พากันมาสักการะนักบุญฟรานซิส
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1986 และ เดือนมกราคม ค.ศ. 2002 สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ทรงเสด็จมาที่มหาวิหารเพื่อจะสวดมนต์เพื่อความสันติสุข
เมื่อวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 1997 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 816 ปีของวันเกิดของนักบุญฟรานซิสก็เกิดมีแผ่นดินไหวที่อาซิซิทำให้คนตายไป 4 คน มหาวิหารได้รับความเสียหายอย่างหนักต้องปิดเป็นเวลาสองปีก่อนที่จะซ่อมเสร็จ
สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 9ทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1228 แม้ว่าการก่อสร้างอาจจะเริ่มต้นแล้วก็ได้ ผู้ออกแบบและคุมงานคือหลวงพ่อเอเลีย บอมบาร์โดเน (Elia Bombardone) ผู้เป็นสาวกคนสำคัญของนักบุญฟรานซิสและเคยเป็นผู้สอนศาสนาที่ซีเรีย ชั้นล่างของวัดสร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1230 เมื่อวัน Pentecost ซึ่งเป็นวันฉลอง 50 วันหลังจากอีสเตอร์เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1230 ก็มีการนำร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของนักบุญฟรานซิสจากที่เก็บชั่วคราวที่วัดเซนต์จอร์จซึ่งปัจจุบันเป็นบาซิลิกาเซนต์แคล (Basilica of St. Clare) มาไว้ที่ส่วนล่างของมหาวิหารที่สร้างเสร็จ
มหาวิหารชั้นบนเริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1239 และเสร็จเมื่อ ค.ศ. 1253 ลักษณะการก่อสร้างเป็นแบบโรมาเนสก์ผสมกอธิคฝรั่งเศส ซึ่งเป็นตัวอย่างของการก่อสร้างคริสต์ศาสนสถานลักษณะกอธิคอิตาลีต่อมา
การตกแต่งของมหาวิหารทำโดยศิลปินสำคัญๆ ในยุคนั้นจากโรม ทัสเคนี และ อุมเบรีย ฉะนั้นนอกจากเป็นศาสนสถานสำคัญแล้วมหาวิหารเซนต์ฟรานซิสแห่งอาซิซิจึงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ศิลปะของอิตาลีด้วย ชั้นล่างมีจิตรกรรมฝาผนังของจิตรกรผู้มีชื่อเสียง เช่น ชิมาบูเย และจอตโต ดี บอนโดเน ผู้ซึ่งวาดชั้นบนของมหาวิหารเป็นชีวประวัติของ นักบุญฟรานซิสด้วย
สมเด็จพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 4 ซึ่งอดีตเป็น Minister General ของ ลัทธิฟรานซิสกันได้เลื่อนฐานะของวัดขี้นให้เป็นวัดสันตะปาปาเมื่อ ค.ศ. 1288
จัตุรัสเดลเลลอจเจ (Piazza delle Logge) ที่เป็นลานหน้าวัดและทางเดินไปสู่วัดสร้างเมื่อค.ศ. 1474 ใช้เป็นที่พักพิงของนักแสวงบุญที่พากันมาสักการะนักบุญฟรานซิส
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1986 และ เดือนมกราคม ค.ศ. 2002 สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ทรงเสด็จมาที่มหาวิหารเพื่อจะสวดมนต์เพื่อความสันติสุข
เมื่อวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 1997 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 816 ปีของวันเกิดของนักบุญฟรานซิสก็เกิดมีแผ่นดินไหวที่อาซิซิทำให้คนตายไป 4 คน มหาวิหารได้รับความเสียหายอย่างหนักต้องปิดเป็นเวลาสองปีก่อนที่จะซ่อมเสร็จ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น