วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

“เมลเบิร์น” เมืองระดับโลก


จะไปเที่ยวออสเตรเลีย ผู้คนมักจะนึกถึง “ซิดนีย์” มากกว่าเมืองอื่นๆ แต่จริงๆ แล้ว ทวีปออสเตรเลียมีแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกอยู่อีกมากมาย “เมลเบิร์น” ก็เป็นอีกเมืองหนึ่งที่น่าสัมผัส... เดือนมกราคมของทุกปี นักเทนนิสมือหนึ่งและมือระดับโลกจากทั่วโลก จะเดินทางมาแข่งขันเทนนิสแกรนด์สแลมแรกนั่นคือ “ออสเตรเลียน โอเพ่น 2007” ณ สนามเมลเบิร์น ปาร์ค ริมฝั่งแม่น้ำยาร์ราที่ไหลผ่านกลางเมือง ในปีนี้ การแข่งขันเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 15-28 มกราคม เป็นเวลาสองสัปดาห์ที่มีผู้เข้าชมนับแสน ณ สนามกีฬากึ่งมัลติสปอร์ตบันเทิงที่พร้อมจัดการแสดงอื่นๆ ได้อีก เป็นที่ที่มีความพร้อมที่สุดของโลก การท่องเที่ยวเพื่อการชิมอาหารและเทศกาลอาหารต่างๆ กำลังเริ่มได้รับความนิยมในเมืองเมลเบิร์น มีเทศกาลอาหารและไวน์ตลอดทั้งเดือนที่จัดในเดือนมีนาคม
ถัดมาจะมีเทศกาลเก็บเกี่ยวในเขตพื้นที่ปลูกองุ่นและผลิตไวน์ หลายแห่งจัดงานอาหารพิเศษประจำปีขึ้น โดยเฉพาะสุดสัปดาห์จะเป็นอาหารพิเศษของหุบเขาแคลร์ ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด “เมลเบิร์น” ยังคงรักษาความงามที่คลาสสิกด้านสถาปัตย์ยุควิคตอเรียนับร้อยปีของเมืองที่เต็มไปด้วยต้นไม้ครึ้ม สวนฟิทซ์รอย สวนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ มีกระท่อมกัปตันคุก นักสำรวจชาวอังกฤษคนสำคัญของโลก ผู้ค้นพบทวีปออสเตรเลียไว้ให้ชม ที่สวยงามและน่ารัก เห็นจะเป็นรถรางและภูมิทัศน์ที่มีชีวิตชีวา บริเวณ “ฟลินเดอร์ สตรีท สเตชั่น” สถาปัตยกรรมล้ำสมัยกระจายให้ดูทั่วทุกมุมเมือง เป็นมรดกโลกตกทอดรักษากันมาแต่โบราณ เช่น ทิวทัศน์ถนน โอลเดอร์ฟลีทและเมลเบิร์น ออบเซอร์เวชั่น เดค บนถนนคอลลินส์ ร้านกาแฟสบายๆ ช่วงฤดูร้อนที่อบอุ่นจะเต็มไปด้วยผู้คนในบรรยากาศแบบสบายๆ ตามถนนที่มีร้านกาแฟและบาร์เก๋ๆ สไตล์อิตาเลียนที่ถนนแซพเพล (Chapel Street) และทูแรค (Toorak Road) ที่เซ้าท์ ยาร์รา (South Yarra) และถนนคอมเมอร์เชียล (Commercial Road) มีร้านสบายๆ .

กรุงปราก ณ สาธารณรัฐเช็ก


“ปราก” เมืองเก่าสวยมาก ความสวยงามของกรุงปราก ดินแดนของสาธารณรัฐเช็ก เป็นที่เลืองลือและมีผู้คนเดินทางไปชมเมืองที่มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปราว 2,000 ปี จึงเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันหลากหลาย เช่น โรมันเนสก์ โกธิค เรเนซองส บารอค รวมทั้งศิลปะรูปแบบต่างๆ ทำให้กรุงปรากเป็นเมืองที่แสดงให้เห็นถึงประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมัน และองค์การ UNESCO ได้เลือกให้เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม

โคลด โมเนท์


โกลด โมเน (ภาษาฝรั่งเศส: Claude Monet หรือ Oscar-Claude Monet หรือ Claude Oscar Monet) (14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1840 - 5 ธันวาคม ค.ศ. 1926)[1] เป็นจิตรกรสมัยอิมเพรสชั่นนิสม์ และเป็นจิตรกรคนสำค้ญของประเทศฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึง 20 มีความสำคัญในการเป็นผู้ริเริ่มศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์และมีบทบาทสำคัญในปรัชญาและการปฏิบัติของขบวนการนี้ ซึ่งเป็นการวาดภาพจากความประทับใจในสิ่งที่เห็นของผู้วาด (perception) แทนที่จะพยายามทำให้เหมือนจริงตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในจิตรกรรมภูมิทัศน์ (Landscape painting) [2] คำว่า “Impressionism” มาจากชื่อภาพเขียนของโมเนเองชื่อ “Impression, Sunrise” (ความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้น)

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553


ประเทศอันดอร์รา (Andorra) หรือ ราชรัฐอันดอร์รา (Principality of Andorra) (คาตาลัน: Principat d'Andorra; ฝรั่งเศส: Principauté d'Andorre; สเปน: Principado de Andorra) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีพื้นที่ขนาดเล็ก อยู่ในทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป อยู่ในเทือกเขา Pyrenees ทางตะวันออก มีอาณาเขตติดกับประเทศฝรั่งเศส และสเปน เดิมเคยเป็นประเทศอยู่โดดเดี่ยว ปัจจุบันอันดอร์รานับเป็นประเทศที่มั่งคั่งประเทศหนึ่ง โดยมีรายได้หลักจากการท่องเที่ยว และยังเป็นประเทศที่มีการเก็บภาษีที่ต่ำมากด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553


ปาสคาล บาโบต์ เป็นตำนานเชฟที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลดาวมิชลินระดับ 3 ดาว และเป็นเจ้าของห้องอาหาร “ลา สทรองซ์” (L’Astrance) ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่ได้รับรางวัลรับประกันคุณภาพมากมาย อาทิ ได้รับคะแนนเต็ม 20 จากโกลท์ มิลเลา (Gault Milau) ซึ่งเป็นหนังสือคู่มือทำอาหารที่โด่งดังที่สุดในประเทศฝรั่งเศส และล่าสุดถูกจัดอยู่ใน 50 อันดับร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลกจาก The World’s 50 Best Restaurants ซึ่งเป็นการจัดอันดับประจำปี โดยนิตยสาร Restaurant ประเทศอังกฤษ จึงเป็นที่กล่าวขานว่า “ลาสทรองซ์” เป็นหนึ่งในห้องอาหารที่จองที่นั่งยากที่สุดในโลก จึงต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 2 เดือน

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Hunyad Castle ปราสาทแดร็กคูล่า ในโรมาเนีย !


ปราสาทบรานแห่งโรมาเนีย เป็นปราสาทของเจ้าผู้ครองแคว้นทรานซิลวาเนีย อายุเก่าแก่กว่า 600 ปี วันหนึ่ง เกิดมีนักเขียนนิยายชื่อดังชาวไอริช คือ "บราม สโตเกอร์" จับความในประวัติศาสตร์ว่าเคยมีเจ้าชายนักรบชื่อ "วแลด เทเปส" มาพักที่ปราสาทนี้ แล้วไปผูกเรื่องเป็น"ท่านเคาท์แดร๊กคิวล่า" ที่กลางวันนอนโลงศพ กลางคืนลุกขึ้นมาดูดเลือดเหยื่อที่มักเป็นสาวสวย
ครั้นนิยายถูกนำไปสร้างเป็นหนังผีสยองขวัญ ที่คริสเตอร์เฟอร์ ลี สวมบทเคาท์แดร๊กคิวล่า ทำเงินถล่มทลายเพราะคนดูตรึม โลกก็เลยรู้จักปราสาทบรานในฐานะ"ปราสาทแดร๊กคิวล่า"ชักพาให้คนไปเที่ยวตรึมเช่นกัน แล้วพานเข้าใจว่าเป็นปราสาทผีดิบจริงๆ ทั้งๆ ที่มันเป็นเพียงนิยาย เลยเถิดถึงขั้นตามไปดูโบสถ์คริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ บนเกาะกลางทะเลสาบ "ซนากอฟ"ชานกรุงบูคาเรสต์ เมืองหลวงของโรมาเนีย ซึ่งตามประวัติว่าสร้างโดยเจ้าชายวแลด เทเปส และยังเป็นที่ฝังศพของท่าน แต่โปรแกรมทัวร์บอกเป็น "สุสานแดร๊กคิวล่า"
บาทหลวงที่ดูแลโบสถ์นี้ท่านคงรำคาญเต็มทน ที่มีคนมาถามหาหลุมศพแดร๊กคิวล่าอยู่เรื่อย ท่านเลยเขียนคำอธิบายแล้วลงทุนอัดสำเนาแจก เนื้อหามีอยู่ว่า "วแลด เทเปส (Vlad Tepes) ทำไมเขาจึงได้รับสมญานามว่า "แดร๊กคิวลา" เพราะเขาเป็นผีดิบดูดเลือดรึ? ช่างไร้สาระสิ้นดี ลองมาฟังเรื่องนี้ดีกว่า เมื่อ 600 ปีก่อน พวกเติร์กแห่งอาณาจักรออตโตมานกำลังขยายอำนาจ ขณะที่โรมาเนียแบ่งเป็นแคว้นทรานซิลวาเนีย กับแคว้นวาลาเคีย มีเจ้าชายผู้กล้าคนหนึ่ง ชื่อ "วแลดแห่งวาลาเคีย" ปฏิบัติการรุกรบต่อต้านการโจมตีของพวกเติร์กอย่างแข็งขัน จนเป็นที่เลื่องลือในความเก่งกล้า บ้าบิ่น และเหี้ยมโหดต่อศัตรูผู้รุกราน
ยามนั้น ชาวบ้านนิยมเรียกเขาว่า "วแลด แดรคูล" แปลว่า "วแลด เจ้ามังกรผยองเดช" เพราะพ่อของวแลด ได้รับการแต่งตั้งจากพระจักรพรรดิซิกิสมุนด์แห่งนูเรมเบิร์ก ให้เป็น "อัศวินมังกร" (Knight of Dragon's Order) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตกทอดถึงทายาทด้วย เมื่อวแลดขึ้นครองวาลาเคีย และยังเป็นเจ้าชายนักรบผู้กล้า ผู้คนจึงเรียกเขาอย่างภูมิใจว่า "วแลด แดรโค" (Vlad Draco) เพราะ "แดรโค" เป็นภาษาละตินแปลว่า "Dragon" หรือมังกรนั่นเอง ภายหลังจึงเพี้ยนเสียงเป็น "วแลด แดรคูล" (Vlad Dracul) ไม่ใช่ท่านเคาท์แดร๊กคิวล่าจอมดูดเลือดแต่อย่างใดเลย..."
แต่ "วแลด แดรคูล" แห่งแคว้นวาลาเคีย มาเป็นท่าน "เคาท์ แดร๊กคิวล่า" ที่ปราสาทบรานแห่งแคว้นทรานซิลวาเนียได้อย่างไร? สันนิษฐานกันว่า วแลด แดรคูล อาจเคยมาช่วยทรานซิลวาเนียต่อสู้กับพวกเติร์กที่ปราสาทบราน หรือท่านอาจเคยครอบครองปราสาทนี้อยู่ระยะหนึ่ง ก็เลยเอาตำนานความโหดร้ายของท่านมาผูกเรื่องเป็นผีดิบไปเสีย ซึ่งหากท่านโหดร้ายจริง ก็โหดร้ายกับศัตรูผู้รุกราน แล้วมันผิดตรงไหน? ใครๆ ก็รู้ว่าพวกเติร์กสมัยนั้นก็โหดใช่ย่อย ไม่ต้องดูอื่นไกล มีหลักฐานบางเล่มระบุว่าสมเด็จพระนเรศวรก็ทรงโหดเหี้ยมต่อศัตรูและต่อไพร่พลที่หนีทหารหรือแปรพักตร์ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา มิฉะนั้นพระองค์คงกอบกู้บ้านเมืองไม่ได้
ปราสาทแดร๊กคิวล่า จึงถือเป็น "ความจริงที่หลอกลวง" แต่เรื่องนี้ชาวโรมาเนียไม่ได้โวยวายอะไร เพราะความจริงลวงนี้นำเงินตราเข้าประเทศมหาศาล ล่าสุด มีข่าวว่า ทายาทผู้ครองแคว้นทรานซิลวาเนีย (ไม่ใช่ทายาทผีดิบดูดเลือด) ประกาศจะขายปราสาทบรานให้รัฐบาลโรมาเนียเป็นเงินถึง 60 ล้านยูโร หรือแค่ 2,800 กว่าล้านบาท

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553


คลีโอพัตรา ที่ 7 ฟิโลปาตอร์ (Κλεοπάτρα θεά φιλοπάτωρ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ คลีโอพัตรา เกิดในเดือนมกราคม 69 ปีก่อนคริสตกาล - เสียชีวิตในวันที่ 30 พฤศจิกายน 30 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นราชินีแห่งอียิปต์โบราณ และเป็นสมาชิกคนสุดท้ายของราชวงศ์ปโตเลมีแห่งมาเซโดเนีย ดังนั้น จึงเป็นผู้ปกครองอียิปต์ที่มีเชื้อสายกรีกคนสุดท้าย บิดาของพระนางคือปโตเลมีที่ 12 โอเลเตส และคาดว่าพระมารดาเป็นเชษฐภคินีของโอเลเตส ทรงพระนามว่า คลีโอพัตราที่ 5 ทรีฟาเอนา ชื่อ"คลีโอพัตรา" เป็นภาษากรีก แปลว่า "ความเจริญรุ่งเรืองของบิดา" พระนามเต็มของพระนางคือ "คลีโอพัตรา เธอา ฟิโลปาตอร์" ซึ่งหมายถึง "เทพีคลีโอพัตรา ผู้เป็นที่รักของบิดา" พระนางทรงมีความเฉลียวฉลาดมาก ทรงแตกฉานถึง 14 ภาษา เช่น ภาษาฮิบรู ภาษาละติน ภาษามาซิโดเนีย ภาษาเอธิโอเปียน ภาษาซีเรีย ภาษาเปอร์เซีย ภาษาอียิปต์ ซึ่งแม้แต่ในราชวงศ์ก็น้อยคนนักที่จะแตกฉานในภาษานี้
ในปัจจุบัน คลีโอพัตรา ที่ 7 ฟิโลปาตอร์ นับได้ว่าเป็นผู้ปกครองอียิปต์โบราณที่มีชื่อเสียงมากที่สุด นิยมเรียกพระนามสั้นๆ ว่า คลีโอพัตรา ซึ่งทำให้ราชินีองค์ก่อนๆ ที่ทรงพระนามคล้ายคลึงกับพระนางถูกลืมไปสิ้น จริงๆ แล้วพระนางไม่เคยปกครองอียิปต์ตามลำพัง แต่ครองราชย์ร่วมกับพระบิดา พระอนุชา พระอนุชา - สวามี หรือไม่ก็พระโอรส แต่อย่างไรก็ดี การครองราชย์ร่วมกันดังกล่าวมีผู้ร่วมบัลลังก์เป็นเพียงกษัตริย์ตามพระยศเท่านั้น อำนาจแท้จริงอยู่ในมือของคลีโอพัตราเองทั้งสิ้น