วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553


กองหินประหลาด ประกอบด้วยกองหินขนาดใหญ่จำนวนถึง 112 ก้อน และแต่ละก้อนทรงสูง บางก้อนล้มนอน บางก้อนตั้งตรง บางก้อนวางทับซ้อนิยู่บนยอด วงหินรอบนอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 100 ฟุต หินที่เรียงรายอยู่ทั้งหมดถึง 30 ก้อน ล้วนแต่ก้อนขนาดมหึมา สูงถึง 13 ฟุต และหนักเป็นตันๆ ทั้งนั้น อายุของหินเล่านี้มีมานาน ตั้งแต่ก่อนสมัยคริสตกาลถึง 1,700 ปี ไม่มีประวัติแจ้งไว้ว่าใครเป็นผู้นำมาวาง และมาวางเพื่อประสงค์อะไร กองหินประหลาดแห่งนี้ อยู่กลางทุ่งนาอันกว้างขวาง แห่งเมืองซัสลิสเบอรี่ มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ ห่างจากกรุงลอนดอนประมาณ 10 ไมล์ ตามทางสันนิฐานของนัวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ว่า กองหินประหลาดแห่งนี้ เป็นแหล่งกำเนิดของการโคจรของพระอาทิตย์ และพระจันทร์ได้ด้วย รัฐบาลอังกฤษ ได้เปิดสถานที่ที่มีกองหินประหลาดนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ในปี ค.ศ. 1918 และจนกระทั่งปัจจุบันนี้ยังมีผู้ไปเที่ยวชมจำนวนมาก และก็จัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกยุคกลาง

สุสานใต้ดินแห่งกรุงโรม


สุสานใต้ดินแห่งกรุงโรม หรือ สุสานรังผึ้งแห่งกรุงโรม (อังกฤษ: Catacombs of Rome) เป็นสุสานโบราณที่สร้างขึ้นเพื่อเก็บศพใต้ดิน[1]ในกรุงโรมหรือใกล้กรุงโรมในประเทศอิตาลี ซึ่งมีด้วยกันอย่างน้อยสี่สิบสุสาน บางสุสานก็เพิ่งพบเมื่อไม่นานมานี้ แม้ว่าจะมีชื่อเสียงว่าเป็นที่เก็บศพของผู้นับถือคริสต์ศาสนา แต่ก็เป็นที่เก็บศพของผู้นับถือศาสนาอื่นด้วยที่รวมทั้งเพกันและศาสนายูดาย บางครั้งก็ในบริเวณเดียวกันหรือบางครั้งก็แยกจากกัน การเก็บศพในสุสานใต้ดินแห่งกรุงโรมเริ่มทำกันมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 2[ต้องการอ้างอิง] ดินภายใต้กรุงโรมเป็นหินทัฟฟ์เหมาะแก่การสร้างอุโมงค์และช่องที่ใช้ในการบรรจุศพ หินทัฟฟ์เป็นหินที่อ่อนที่ขุดง่ายและแข็งตัวเมื่อถูกอากาศ สุสานบางสุสานยาวหลายกิโลเมตรและอาจจะมีด้วยกันถึงสี่ชั้นหรือสี่ระดับ
สุสานใต้ดินของโรมันคาทอลิกมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อ
นักประวัติศาสตร์ศิลปะในการศึกษาศิลปะคริสต์ศาสนาของสมัยคริสเตียนยุคแรกเพราะในสุสานมีตัวอย่างงานจิตรกรรมฝาผนัง และ ประติมากรรมจากราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 5 สุสานใต้ดินของยูดายก็เช่นเดียวกันที่มีความสำคัญในการศึกษาวัฒนธรรมของศาสนายูดายในช่วงเวลาเดียวกัน

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

พึ่งเคยได้ยิน "ตำนานทรพี"


ยักษ์อยู่ตนหนึ่งชื่อ "นนทกาล" มีหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูวังสวรรค์ ของพระศิวะ (เขาไกรลาส) ยักษ์ตนนี้ได้ทำผิดกฏ โดยการปลุกปล้ำนางฟ้านาม "มาลี" นางฟ้าได้นำเรื่องทูล ต่อองค์ศิวะเจ้า พระศิวะทรงกริ้วจึงสาป ให้ยักษ์ไปเกิิดเป็นควาย มีนามว่า "ทรพา" และจะต้องถูกสังหารโดยลูกของตัวเอง ผู้มีชืื่อว่า "ทรพี" หลังจากนั้นจึงจะพ้นคำสาป นนทกาลเกิดเป็นควาย หลายเมีย มันจะฆ่าลูกชายทีีจะเกิดทุกตัว เมียทรพาตัวหนึ่ง หนีไปและได้คลอดลูกที่อื่น ควายตัวนี้ ได้รับการเลี้ยงดูโดยเทวดา เทวดาได้ตั้งชื่อควายตัวนี้ว่า "ทรพี" ทุกวันทรพีจะวัดขนาดกีบของมันกับของพ่อ เมื่อใหญ่เท่ากันจึงถือว่าพร้อมที่จะสู้ ท้ายสุดทรพา ก็ถูกลูกของ ตนฆ่าตาย สำนวนไทย คำว่า "ทรพี" หมายถึงคนที่ไม่รู้จักคุณบิดามารดา "

สิ่งที่พระศิวะลงโทษนั้น สมเหตุสมผลดีมั้ยครับ

เรื่องทรพีนี่ คนที่ควรประณามไม่ใช่ใครหรอกครับ
พระศิวะเองแหละ
ถามหน่อยเหอะ ถ้าพระศิวะไม่ลงโทษยักษ์นนทกาลเช่นนี้ ถามว่า ทรพีจะกลายเป็นลูกฆ่าพ่อหรือไม่
ไม่มีทางแน่ๆ สิ่งที่ยักษ์นนทกาลทำความผิด ก็เป็นเกี่ยวกับเรื่องชู้สาว ไม่ได้ฆ่าพ่อฆ่าแม่หรือว่าผู้มีพระคุณเลย โทษที่ควรได้รับจึงไม่สมควรกับสิ่งที่ตนเองกระทำ ให้ไปเป็นกระเทยหรือว่า ผู้หญิงที่ถูกทำมิดีมิร้ายผมว่ายังเข้าท่ากว่า
ทรพี กับ ทรพา ไม่สามารถฝืนชะตาของตนเองได้เลย ทรพาฆ่าลูกตัวเองไปมากมายเพราะกลัวคำสาปเป็นจริง ทรพีฆ่าพ่อเพราะโกรธแค้น และสภาพชีวิตที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ถามว่าเขาจะเป็นคนดีได้เหรอครับ การขาดความรักจากพ่อ และการต้องมารับรู้ว่าน้องตัวเองถูกฆ่าไปทีละคนๆ มันน่าสงสารมั้ยครับ ผมถามหน่อย สิ่งที่เขาเห็นมีแต่ความโหดร้ายๆและโหดร้าย มันจะหล่อหลอมให้เขาเป็นคนดีได้เหรอครับ
แล้วยิ่งเทวดาก็เข้ามาเสริมกำลังให้ทรพีด้วยยิ่งเข้าไปใหญ่เลย ประมาณว่า ราดน้ำมันลงในกองไฟเข้าไปอีก คราวนี้ก็มันส์ละครับ
ผมขอรับรองเลยว่า เรื่องนี้คนผิดคือพระศิวะ ที่ส่งคำสาปบ้าๆที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความผิดของนนทกาลเลย และคนที่ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาปไปตลอดชีวิตก็คือ ทรพี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ น่าสงสารมั้ยครับ ต้องฆ่าเพราะโชคชะตากำหนด และสภาพสังคม
บางที ทรพี กับ ทรพาไม่ควรเป็นควายด้วยซ้ำ เป็นแพะไปเลยยังจะเข้าทีกว่า (รันทดหนักเข้าไปอีก)
ฉะนั้น สิ่งที่พาลี หรือใครๆต่อใครๆ ตราหน้าว่า ทรพีเป็นลูกเนรคุณ จึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
ในโลกนี้ยังมีคนอีกเยอะ ที่ถูกประณามว่าเป็นคนเลว ทั้งที่ความจริง เขาไม่สมควรจะถูกประณามหยามเหยียดแบบนี้ แต่จะมีสักกี่คน ที่มองลึกไปในตัวของแพะเหล่านั้นว่า เขาทำไปทำไม ทำไมเขาจึงไม่สามารถเลือกทางเดินที่ดีได้
แต่ในสังคมที่การบิดเบือนและการมองคนที่ผิวเผินกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนนิยมชมชอบและได้รับการยอมรับในสังคม แพะก็ย่อมกลายเป็นแพะอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
น่าเศร้าที่คนเลวๆหรือว่าคนที่ไม่ควรได้รับการยกย่อง กลับเชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคมและวรรณกรรมได้ ยิ่งคิดยิ่งเศร้าใจ