วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

ศาลเจ้าสึรุงะโอะกะ ฮะจิมัง


ศาลเจ้าสึรุงะโอะกะ ฮะจิมัง (ญี่ปุ่น: 鶴岡八幡宮 Tsurugaoka Hachiman-gū ?) เป็นศาลเจ้าสำคัญแห่งหนึ่งในเมืองคะมะกุระ จังหวัดคะนะงะวะ ประเทศญี่ปุ่น
แรกเริ่มศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1606 ใกล้หาดยูอิงะ เพื่อถวายแด่จักรพรรดิโอจิน จักรพรรดินีจินกุ พระมารดา และเจ้าหญิงฮิเมะ พระชายา ต่อมามินะโมะโตะ โยะริโตะโมะ ผู้เป็นต้นตระกูลโชกุนแห่งคะมะกุระ ได้ย้ายศาลเจ้ามาตั้งที่ตำแหน่ง ณ ปัจจุบันนี้เมื่อปี พ.ศ. 1734 และได้อัญเชิญฮาจิมัง เทพแห่งสงคราม มาประดิษฐานที่ศาลเจ้าเพื่อให้เป็นเทพคุ้มครองตระกูล
ในบริเวณศาลเจ้าแห่งนี้มีอาคารที่ตั้งแท่นบูชาอยู่จำนวนหนึ่ง ที่มีความสำคัญที่สุดคือ แท่นบูชาเล็กที่ตั้งอยู่ด้านล่างสุดของเนินที่ตั้งศาลเจ้า และแท่นบูชาใหญ่ที่ตั้งอยู่เหนือขึ้นไป 61 ขั้นบันได อาคารแท่นบูชาใหญ่ในปัจจุบันนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1828 โดยโทคุงาวะ อิเอนาริ โชกุนคนที่ 11 แห่งตระกูลโทคุงาวะ
ถนนทางเข้าศาลเจ้ามีต้น
ซากุระเรียงรายอยู่สองข้างทาง ซึ่งปลูกถวายศาลเจ้าโดยโยริโทโมะในโอกาสที่บุตรชายคนแรกสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย และศาลเจ้าแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ฝึกสอน "ยาบุซาเมะ" หรือการยิงธนูจากบนหลังม้า
ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ มินะโมะโตะ ซะเนะโตะโมะ โชกุนแห่งคะมะกุระคนที่ 3 ถูกลอบสังหารโดยนักยิงธนูที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้น
แปะก๊วย เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 1762 ปัจจุบันต้นแปะก๊วยนี้ยังคงยืนต้นอยู่ด้านหลังทางเดินบันไดภายในศาลเจ้า

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

วอลแตร์





วอลแตร์ (Voltaire 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2237 - 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2321) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีชื่อเดิมว่า ฟรองซัวส์ มารี อรูเอต์ (François-Marie-Arouet) เกิดที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2237 (ค.ศ. 1694) ในตระกูลคนชั้นกลาง
ประวัติ
วอลแตร์เป็นคนมีการศึกษาดี ฉลาด มีไหวพริบ และมีความสามารถพิเศษทางวรรณศิลป์ เมื่อเขาเข้าศึกษาในโรงเรียนหลุยส์-เลอ-กรอง (Louis-le-Grand) ที่มีชื่อของพระนิกายเยซูอิต ทำให้วอลแตร์มีความสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ร่วมสมัย การเมือง ตลอดจนวรรณกรรมของนักเขียนกรีกโรมัน ซึ่งมีอิทธิพลทำให้เขามีรสนิยมแบบคลาสสิก เมื่อเขาจบการศึกษาวอลแตร์ก็ทำงานเป็นทนายความ แต่ความที่เขาเป็นคนหัวแข็งและชอบขบถ จึงไม่ชอบอาชีพนี้เลย เพราะเขาคิดว่าเป็นตำแหน่งที่ ”ซื้อเอาได้” เขาอยากทำงานที่ ”ไม่ต้องซื้อหา”

วอลแตร์หันมาเขียนหนังสืออย่างจริงจังเมื่ออายุได้ 20 ปี เขาชอบเขียนหนังสือประเภทเสียดสีสังคมอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าเขาจะคบหาสมาคมกับชนชั้นสูงก็ตามแต่เขาก็ไม่ละเว้นที่จะโจมตีชนชั้นนี้ และในปี พ.ศ. 2260 (ค.ศ. 1717) เขาเขียนกลอนล้อเลียนผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน (Duc d’Orléans) ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 จึงถูกส่งเข้าคุกบาสตีย์ ขณะที่อยู่ในคุกเขาเขียนบทละครโศกนาฏกรรมเรื่องแรกขึ้นชื่อ เออดิปป์ (Œdipe) ในปี พ.ศ. 2261 (ค.ศ. 1718) เพื่อต่อต้านความเชื่อทางศาสนา ต่อต้านความเชื่อเรื่องโชคเคราะห์ และชะตาลิขิต และเพื่อเน้นความสำคัญทางเสรีภาพของมนุษย์ ละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เมื่อนำออกแสดงภายหลังที่เขาพ้นโทษ ก็ส่งผลให้วอลแตร์มีฐานะทัดเทียมกับกอร์เนย (Corneille) และ ราซีน (Racine) นักเขียนบทละครโศกนาฎกรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 17 และทำให้เขาได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างหรูหราในราชสำนัก ต่อมาเขาได้ใช้ชื่อ วอลแตร์ (Voltaire) ซึ่งเป็นชื่อที่เขาคิดขึ้นแทนชื่อเดิม

ในปี พ.ศ. 2269 (ค.ศ. 1726) วอลแตร์ถูกขังคุกอีกครั้ง เนื่องจากมีเรื่องพิพาทกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งคือ ดุ๊ค เดอ โรออง-ชาโบ (Duc de Rohan-Chabot) เมื่อออกมาจากคุกเขาถูกเนรเทศไปประเทศอังกฤษ (พ.ศ. 2269 - 2271) ทำให้เขาได้มีโอกาสศึกษาปรัชญาของ จอห์น ล็อก (John Locke) นักปราชญ์ชาวอังกฤษและผลงานของ วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) ที่มีอิทธิพลต่องานละครและผลงานอื่นของเขาในเวลาต่อมาเป็นอย่างมาก บทละครของวอลแตร์ที่ได้รับอิทธิพลจากเช็คสเปียร์ คือ Zaïre และ Brutus เพียงปีเดียวในประเทศอังกฤษ เขาก็มีผลงานเขียนเป็นภาษาอังกฤษชื่อ Essay Upon Epic Poetry นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2271 (ค.ศ. 1728) เขาก็ได้พิมพ์มหากาพย์ชื่อ La Henriade เพื่อสดุดีพระเจ้าอองรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ในฐานะกษัตริย์ที่ทรงขันติธรรมในด้านศาสนา เนื่องจากทรงเป็นผู้บัญญัติ “L’Edit de Nantes” ซึ่งเป็นกฎหมายที่ช่วยให้สงครามระหว่างพวกคาธอลิกและโปรแตสแตนท์ยุติลงได้ ซึ่งมหากาพย์นี้ไม่สามารถตีพิมพ์ในประเทศ ฝรั่งเศสเนื่องจากไม่เป็นที่พอใจของราชสำนัก รัฐสภาและพระสันตะปาปา

นอกจากนี้ วอลแตร์ยังนิยมความคิดของนิวตัน (Newton) นักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ และนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษเป็นอย่างมาก เขาแปลงานของนิวตัน และยังเขียนหนังสือว่าด้วยทฤษฎีของนักวิทยา-ศาสตร์ผู้นี้อีกหลายเล่ม วอลแตร์เห็นว่าแนวความคิดของนิวตันก่อให้เกิดการปฏิวัติในภูมิปัญญาของมนุษย์ เพราะนิวตันเชื่อว่าความจริงย่อมได้จากประสบการณ์และการทดลอง เขาไม่ยอมรับสมมติฐานใด ๆ โดยอาศัยสูตรสำเร็จโดยวิธีของคณิตศาสตร์เพียงอย่างเดียว

เมื่อกลับประเทศฝรั่งเศสวอลแตร์ก็เขียนบทความโจมตีศาสนา เมื่อบาทหลวงปฏิเสธไม่ยอมทำพิธีให้กับนักแสดงละครหญิง ซึ่งรับบทแสดงเป็นราชินีโจคาสต์ ในละครเรื่อง Œdipe นับตั้งแต่นั้นมาวอลแตร์จึงโจมตีเรื่องอคติ และการขาดขันติธรรมของศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิกอยู่เสมอ แม้จะถูกตักเตือนและถูกข่มขู่จากผู้มีอำนาจเซ็นเซ่อร์งานเขียนของเขา แต่วอลแตร์ก็ไม่เคยเกรงกลัว นอกจากนี้เขายังเปิดโปงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็นว่าไม่ถูกต้อง

เขาเกือบถูกจับอีกครั้งเมื่อพิมพ์หนังสือชื่อ จดหมายปรัชญา (Les Lettres philosophiques ou Lettres anglaises) ออกมาในปี พ.ศ. 2277 (ค.ศ. 1734) จดหมายปรัชญา มีทั้งความคิด เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่เขียนด้วยโวหารที่คมคาย พร้อมด้วยการเสียดสีที่ถากถาง วอลแตร์วิพากษ์วิจารณ์ทั้งศาสนา การเมือง วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และจบลงด้วยการวิจารณ์แบลส ปาสกาล (Blaise Pascal) นักคิดคนสำคัญทางด้านศาสนาในศตวรรษที่ 17 ผลงานชิ้นนี้ทำให้วอลแตร์กลายเป็นนักปราชญ์ที่ไม่เคยทำให้ผู้อื่นเบื่อ เป็นงานที่ลีลาการเขียนเฉพาะตัวของเขาเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน และด้วยหนังสือเล่มนี้ทำให้เขาต้องหนีไปอยู่ที่วังซิเรย์ (Cirey) ของ มาดาม ดู ชาเตอเล่ท์ (Madame du Châtelet) ในแคว้นลอแรนน์ หล่อนเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์และทรงความรู้ ทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันยาวนานถึง 17 ปี วอลแตร์รักหล่อนมาก นับว่าหล่อนเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญอีกคนหนึ่ง

ตลอดเวลาที่พักอยู่วังซิเรย์ วอลแตร์จะเขียนหนังสืออยู่ไม่หยุด และจะสนใจศึกษาเรื่องวิทยาศาสตร์ด้วย เขามีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ เช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประเทศเบลเยี่ยม ประเทศปรัสเซีย ซึ่งเขาได้กลายเป็นคนโปรดของพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งประเทศปรัสเซีย (Frederic II roi de Prusse) ในปี พ.ศ. 2288 (ค.ศ. 1745) วอลแตร์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนักประวัติศาสตร์แห่งชาติ และปีต่อมาก็ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกราชบัณฑิตยสถานของฝรั่งเศส (l’Académie française) และยังได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางอีกด้วย จากการที่วอลแตร์เป็นคนที่มีความสามารถ เขาจึงได้กลายเป็นที่โปรดปรานของ มาดาม เดอ ปอมปาดูร์ (Madame de Pompadour) พระสนมเอกของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แต่อย่างไรก็ตามชีวิตของเขาก็เริ่มตกอับ กล่าวคือเขาเริ่มเบื่อหน่ายกับชีวิตในราชสำนัก ที่มีแต่การเอารัดเอาเปรียบ การแก่งแย่งชิงดี ประจบสอพลอ อีกทั้งมาดาม ดู ปอมปาดูร์ ก็หันไปโปรดกวีคนใหม่คือ Crébillon และยิ่งร้ายไปกว่านั้นในปี พ.ศ. 2292 (ค.ศ. 1749) มาดาม ดู ชาเตอเล่ย์ ก็ได้เสียชีวิตลง วอลแตร์จึงรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างมาก ชะตาชีวิตระหว่างปี พ.ศ. 2286 - 2290 นี้ นับเป็นแรงบันดาลใจให้เขาแต่งนวนิยายเชิงปรัชญาที่สำคัญ คือ ซาดิก (Zadig ou La Destineé) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2291 (ค.ศ. 1748)

นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2293 (ค.ศ. 1750) เขาได้รับเชิญจากพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 ให้ไปอยู่ในราชสำนัก ระหว่างที่พักอยู่ที่ราชสำนักเบอร์ลินเขาได้ตีพิมพ์ผลงานที่สำคัญสองเรื่อง คือ ศตวรรษพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (Le Siècle de Louis XIV) และนิทานปรัชญาเรื่อง มิโครเมกาส (Micromégas) ต่อมาไม่นานวอลแตร์กลับได้พบความผิดหวังในตัวพระองค์อย่างรุนแรง เพราะพระองค์ทรงเห็นวรรณคดีและปรัชญาเป็นเพียงเครื่องเล่นประเทืองอารมณ์เท่านั้น อีกทั้งพระองค์ทรงเล่นการเมืองด้วยความสับปรับ และเมื่อมีปัญหากับพระเจ้า-เฟรเดอริคที่ 2 วอลแตร์ก็ได้ไปตั้งรกรากอยู่ในกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่คฤหาสน์ เล เดลิซ (Les Délices) และอยู่ที่นั่นกับหลานสาวชื่อมาดามเดอนีส์ (Madame Denis) ซึ่งมีความสัมพันธ์กันมาได้สิบปีแล้ว ในปี พ.ศ. 2300 วอลแตร์ซื้อคฤหาสน์ใหม่ที่แฟร์เนย์ (Ferney) ในประเทศฝรั่งเศสติดชายแดนสวิสเซอร์แลนด์ และเขาได้เริ่มเขียนนิทานปรัชญาเรื่อง ก็องดิดด์ หรือ สุทรรศนิยม (Candide ou L’optimisme) ในปีต่อมา ซึ่งถือกันว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของเขาอีกเรื่องหนึ่งเลยที่เดียว ผลงานชิ้นนี้ได้ยืนยันความเป็นปราชญ์ของวอลแตร์ ผู้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความคิดวิพากษ์ วิจารณ์ในศตวรรษที่18 ได้เป็นอย่างดี

ระหว่างในปี พ.ศ. 2305 – 2308 วอลแตร์ได้ช่วยเหลือครอบครัวกาลาส (Calas) โดยการเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ ฌอง กาลาส ผู้เป็นบิดาซึ่งถูกตัดสินลงโทษจนเสียชีวิต จากข้อกล่าวหาว่าฆ่าลูกชายที่ประสงค์จะเปลี่ยนไปนับถือนิกายคาทอลิก เขาจึงได้เขียน บทความว่าด้วยขันติธรรม (Traité sur la tolérance)

ในปี พ.ศ. 2306 ซึ่งพูดถึงการยอมรับศาสนาที่แตกต่างกันออกไปเพื่อช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับครอบครัวกาลาส เหตุที่เขาเข้าไปช่วยเพราะเขาเห็นว่าไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการลงโทษประหารชีวิต ผู้บริสุทธิ์ และคำตัดสินใหม่ก็ทำให้ตระกูลกาลาสพ้นผิด ภรรยาและบุตรธิดาของฌอง กาลาสก็ได้รับทรัพย์สมบัติของตระกูลคืน จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้วอลแตร์เปรียบเสมือนวีรบุรุษแห่งตำนาน เป็นประทีปแห่งปัญญาที่ไม่เคยมีปัญญาชนคนใดเคยทำมาก่อน

ช่วงนี้วอลแตร์ก็ยังมีผลงานคือ ปทานุกรมปรัชญา หรือ Le Dictionnaire Philosophique ในปี พ.ศ. 2307 (ค.ศ. 1764) อีกด้วย อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะมีความขัดแย้งกับผู้คนจำนวนมาก เพราะความกล้าที่จะเสียดสีสังคมของเขา แต่ในตอนบั้นปลายชีวิตของวอลแตร์ เขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างทรงเกียรติ เมื่อเดินทางกลับมายังกรุง ปารีส ซึ่งโรงละครโกเมดี ฟรองเซส (La Comédie Française) จัดแสดงละครโศกนาฏกรรมเรื่องสุดท้ายที่วอลแตร์แต่งคือ อิแรนน์ (Irène) เพื่อฉลองการกลับมาถึงกรุงปารีสของเขา โดยที่ช่วงก่อนการแสดง ช่วงสิ้นสุดแต่ละองค์ และช่วงจบการแสดง นักแสดงได้นำรูปปั้นครึ่งตัวของวอลแตร์ขึ้นบนเวที ฝูงชนก็ตบมือและส่งเสียงเรียกชื่อของเขาดังกึกก้อง

ศตวรรษต่อมาวิคตอร์ ฮูโก (Victor Hugo) กล่าวว่า "วอลแตร์ คือ 1789" เพราะความคิดของ วอลแตร์มีอิทธิพลต่อประชาชนผู้ลุกฮือขึ้นมาทำการปฏิวัติใหญ่ในประเทศฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2332 จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เมื่อวอลแตร์เสียชีวิตไปในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2321 (ค.ศ. 1778) ขณะที่มีอายุได้ 84 ปีนั้น ทางศาสนาไม่อยากทำพิธีศพให้ แต่เมื่อประชาชนทำการปฏิวัติได้สำเร็จ ก็ได้นำอัฐิของเขาไปยังวิหารปองเตอง (Le Panthéon) ในปี 1791 ในฐานะผู้ที่ประกอบคุณอนันต์ให้แก่ประเทศฝรั่งเศส
ผลงานของวอลแตร์
ผลงานของวอลแตร์มีจำนวนมากมาย หลากหลายประเภททั้งบทละคร นิยาย นิทานเชิงปรัชญา ประวัติศาสตร์ และบทกวี เขาได้รับยกย่องจากคนร่วมสมัยว่าเป็นนักเขียนบทละครชั้นนำและกวีชั้นนำ แต่ในปัจจุบันเขากลับเป็นที่ยกย่องในฐานะนักเขียนเชิงเสียดสี วิพากษ์วิจารณ์ (Le symbole de l’esprit critique) ผลงานของเขาส่วนใหญ่เป็นการเผยแพร่ความคิดทางปรัชญาไปสู่สาธารณชน เพื่อปลุกความคิดวิพากษ์วิจารณ์ให้แก่ชาวฝรั่งเศส เพื่อต่อต้านความคิดระบบสถาบันแบบเก่า การต่อสู้เพื่อขจัดความอยุติธรรมในสังคม รวมทั้งความเชื่อที่งมงายและความบ้าคลั่งทางศาสนา นอกจากนี้เขายังส่งเสริมเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพและการแสดงความคิดเห็นอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

พระราชวังเคียงบกกุง

หลังจากแอมแนะนำแต่สถานที่ท่องเที่ยวทางฝั่งยุโรปมาตลอดวันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวทางฝั่งเอเชียบ้างเริ่มด้วยประเกทศเกาหลีเลยไป ไป! ดูกันเลย


สุดปลายทางด้านเหนือของ ถนนเซจองโนของกรุงโซล เราจะเห็น พระราชวังเคียงบกคุง ตั้งโดดเด่นเป็นสง่า นี่คือ พระราชวังเคียงบกคุง
พระราชวังคยองบก หรือ เคียงบก Gyeongbokgung Palace (เกาหลี: 경복궁)
สุดปลายทางด้านเหนือของ ถนนเซจองโนของกรุงโซล เราจะเห็น พระราชวังเคียงบกคุง ตั้งโดดเด่นเป็นสง่า นี่คือ พระราชวังเคียงบกคุง
พระราชวังเคียงบ๊อก พิพิธภัณท์พื้นบ้านพระราชวังเคียงบ๊อกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1394 สมัยราชวงศ์โซซอน เป็นศูนย์ บัญชาการและที่ประทับของกษัตริย์เมื่อสมัย600ปีก่อนเยี่ยมชมท้องพระโรง พลับพลากลางน้ำ ภายในพระราชวังมี พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่จำลองชีวิตความเป็นอยู่ตลอดจนศิลปวัฒนธรรมของชนชาติ เกาหลีในอดีต ตลอดจนผ่านชม ทำเนียบและบ้านประธานาธิบดีคนปัจจุบัน



คุ้นๆๆๆกันใช่มั๊ยล่ะกับภาพ 2 อันนี้ ก็นี่คือที่ถ่ายทำของเรื่อง "ลีซานงัย"

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

มหาวิหารเซนต์ฟรานซิสแห่งอาซิซิ


มหาวิหารเซนต์ฟรานซิสเริ่มสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 13 เป็นมหาวิหารที่มีด้วยกันสามชั้น ส่วนล่างเริ่มสร้างไม่นานหลังจากที่ฟรานซิสได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักบุญเมื่อปี ค.ศ. 1228 ซิโมเน ดิ พูเชียเรลโล (Simone di Pucciarello) เป็นผู้อุทิศที่ดินและบริเวณเนินเขาทางด้านตะวันตกของเมืองอาซิซิให้เป็นที่สร้างวัด ที่ดินบริเวณนี้แต่เดิมเรียกว่า “เนินนรก” (ภาษาอิตาลี: Collo d'Inferno; ภาษาอังกฤษ: Hill of Hell) แต่ปัจจุบันเรียกกันว่า “เนินสวรรค์” (Hill of Paradise)
สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 9ทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1228 แม้ว่าการก่อสร้างอาจจะเริ่มต้นแล้วก็ได้ ผู้ออกแบบและคุมงานคือหลวงพ่อเอเลีย บอมบาร์โดเน (Elia Bombardone) ผู้เป็นสาวกคนสำคัญของนักบุญฟรานซิสและเคยเป็นผู้สอนศาสนาที่ซีเรีย ชั้นล่างของวัดสร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1230 เมื่อวัน Pentecost ซึ่งเป็นวันฉลอง 50 วันหลังจากอีสเตอร์เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1230 ก็มีการนำร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของนักบุญฟรานซิสจากที่เก็บชั่วคราวที่วัดเซนต์จอร์จซึ่งปัจจุบันเป็นบาซิลิกาเซนต์แคล (Basilica of St. Clare) มาไว้ที่ส่วนล่างของมหาวิหารที่สร้างเสร็จ
มหาวิหารชั้นบนเริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1239 และเสร็จเมื่อ ค.ศ. 1253 ลักษณะการก่อสร้างเป็นแบบ
โรมาเนสก์ผสมกอธิคฝรั่งเศส ซึ่งเป็นตัวอย่างของการก่อสร้างคริสต์ศาสนสถานลักษณะกอธิคอิตาลีต่อมา
การตกแต่งของมหาวิหารทำโดยศิลปินสำคัญๆ ในยุคนั้นจาก
โรม ทัสเคนี และ อุมเบรีย ฉะนั้นนอกจากเป็นศาสนสถานสำคัญแล้วมหาวิหารเซนต์ฟรานซิสแห่งอาซิซิจึงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ศิลปะของอิตาลีด้วย ชั้นล่างมีจิตรกรรมฝาผนังของจิตรกรผู้มีชื่อเสียง เช่น ชิมาบูเย และจอตโต ดี บอนโดเน ผู้ซึ่งวาดชั้นบนของมหาวิหารเป็นชีวประวัติของ นักบุญฟรานซิสด้วย
สมเด็จพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 4 ซึ่งอดีตเป็น Minister General ของ ลัทธิฟรานซิสกันได้เลื่อนฐานะของวัดขี้นให้เป็นวัดสันตะปาปาเมื่อ ค.ศ. 1288
จัตุรัสเดลเลลอจเจ (Piazza delle Logge) ที่เป็นลานหน้าวัดและทางเดินไปสู่วัดสร้างเมื่อค.ศ. 1474 ใช้เป็นที่พักพิงของนักแสวงบุญที่พากันมาสักการะนักบุญฟรานซิส
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1986 และ เดือนมกราคม ค.ศ. 2002
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ทรงเสด็จมาที่มหาวิหารเพื่อจะสวดมนต์เพื่อความสันติสุข
เมื่อวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 1997 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 816 ปีของวันเกิดของนักบุญฟรานซิสก็เกิดมีแผ่นดินไหวที่อาซิซิทำให้คนตายไป 4 คน มหาวิหารได้รับความเสียหายอย่างหนักต้องปิดเป็นเวลาสองปีก่อนที่จะซ่อมเสร็จ