วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Sungha Jung อายุแค่ 14 แต่เจ๋งอ่ะ *คำพูดของSungha Jung


Sungha Jung (Born South Korea on September 2, 1996)
Hi, I'm Sungha Jung from South Korea.
My dream is to become a professional acoustic fingerstyle guitarist.

I had been watching my dad play the guitar for awhile before I finally jumped on it myself three years ago.

Currently, I am taking drum lessons and teaching myself fingerstyle guitar.
I used to not have tabs for the music that I played in my videos.
I just listen and pick them up directly from the sound source in videos available on the internet.
However, recently, I have started playing with original tabs whenever they are available to me by courtesy of the authors.
My old guitar is custom made by Selma to fit my body size, and on it, Thomas Leeb wrote "Keep on grooving to my friend."

As of Jan. 1st, 2009 Lakewood acts as sponsor for my guitar officially.
I'm very grateful to those prominent guitarists who have had a great influence on my guitar playing.
I'll continue to study them and learn more about interpretation of music and various playing techniques.
My daily practice routine lasts for one to two hours when school is open, but I play up to three hours a day during the school breaks.
It usually takes me two to three days to practice and videotape a new piece but sometimes up to a week for more difficult ones.

Last, but certainly not least, I can't thank Ulli Bogershausen enough for being my musical inspiration.

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Warren Buffett เป็นคนที่รวยที่สุดในโลก !!! < จริงหรอ ? >

จะรวยอะไรขนาดเนี่ย ! >>อิจฉาวุ้ย !

วอร์เร็น เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ (อังกฤษ: Warren Edward Buffett) เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1930 ที่โอมาฮา, เนบราสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นนักลงทุน, นักธุรกิจชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงระดับโลก เขาเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และซีอีโอของบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์เขาได้รับการจัดอันดับให้เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในช่วงครึ่งปีแรกของปี ค.ศ. 2008 จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ โดยมีทรัพย์สินประมาณ $50.0 พันล้าน มักจะได้รับฉายาว่าเป็น เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮา หรือไม่ก็ ปราชญ์แห่งโอมาฮาและใน ปี พ.ศ. 2551 ได้เป็นเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกด้วยจำนวนเงิน 62,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ใครหนอที่เป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลกกัน??


โปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก ปรากฏว่าเป็นผู้หญิงค่ะ นั่นก็คือ เอดา ไบรอน (Lady Augusta Ada Byron, Coutress of Lovelace ) เกิดเมื่อปี ค.ศ.1816 ต่อมาพ่อแม่ของเธอก็แยกทางกัน ทางคุณแม่ของเอดาคิดว่า การศึกษาจะทำให้ลูกสาวได้ประโยชน์มากในอนาคต ตอนนั้นเอดาก็เลยถูกเลี้ยงมาให้เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ ที่เรียนรู้ทั้งเรื่องวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ต่างจากผู้หญิงสมัยก่อนๆ คือสังคมชั้นสูง แต่งสวยไปวันๆ (เจ๋งมาก) พออายุ 18 ปี เอดาได้ไปงานเลี้ยงอาหารค่ำที่บ้านของ Mrs. Somerville จนได้พบกับ Charles Babbage ผู้เชี่ยวชาญทางด้านคณิตศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูง เอดาได้สนใจในแนวคิดของ Babbage มากๆ จนอาสาจะช่วยงาน และพัฒนา โดยสิ่งที่เธอทำคือการคิดสร้างภาษาช่วยเครื่อง Analytical Engine จากนั้นก็พัฒนาและคิดค้นแนวคิดต่างๆมาเรื่อยๆ ในยุคนั้น ผู้หญิงอย่างเอดาก็ไม่ได้รับการยกย่องในงานทางวิทยาศาสตร์มากนัก แต่เธอก็ได้กำลังจากจากสามี ที่คอยให้ความเห็นอกเห็นใจ เอาใจช่วยในการฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคต่างๆ จนเธอได้การยอมรับในภายหลัง เอดาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อปี ค.ศ.1852 ต่อมาปี ค.ศ.1979 ได้มีการตั้งชื่อคอมพิวเตอร์ที่เป็นระบบไร้คนควบคุมเครื่องหนึ่งซึ่งพัฒนาโดยกระทรวงกลาโหมของประเทศสหรัฐอเมริกาว่า "เอดา" เพื่อเป็นเกียรติให้กับเธอด้วย เอดาจึงเป็นคนแรกที่มีแนวคิดว่าคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการคำนวณ และไม่เพียงแต่คำนวณได้เท่านั้น เอดายังสามารถคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าได้อีกว่า ในอนาคตคอมพิวเตอร์จะสามารถนำมาใช้สร้างเสียงดนตรีและช่วยกระบวนการ อุตสาหกรรมได้อ่านต่อ

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

5 อันดับอาชีพที่ทำแล้วไม่วันจน< มั้ง >



อันดับที่ 1 ศัลยแพทย์หัวใจและสมอง ศัลยแพทย์หัวใจและสมอง รายได้ต่อเดือน 181,850 เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 6,428,000 บาท


อันดับที่ 2 ซีอีโอ ซีอีโอ รายได้ต่อเดือน 140,880 เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 4,980,000 บาท


อันดับที่ 3 เอ็นจิเนียริ่งแมเนเจอร์ เอ็นจิเนียริ่งแมเนเจอร์ รายได้ต่อเดือน 140,210 เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 4,956,000 บาท


อันดับที่ 4 นักบินพาณิชย์ นักบินพาณิชย์ รายได้ต่อเดือน 134,090 เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 4,740,000 บาท


อันดับที่ 5
ทันตแพทย์ ทันตแพทย์ รายได้ต่อเดือน 132,660 เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 110,590 บาท

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

ศาลเจ้าสึรุงะโอะกะ ฮะจิมัง


ศาลเจ้าสึรุงะโอะกะ ฮะจิมัง (ญี่ปุ่น: 鶴岡八幡宮 Tsurugaoka Hachiman-gū ?) เป็นศาลเจ้าสำคัญแห่งหนึ่งในเมืองคะมะกุระ จังหวัดคะนะงะวะ ประเทศญี่ปุ่น
แรกเริ่มศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1606 ใกล้หาดยูอิงะ เพื่อถวายแด่จักรพรรดิโอจิน จักรพรรดินีจินกุ พระมารดา และเจ้าหญิงฮิเมะ พระชายา ต่อมามินะโมะโตะ โยะริโตะโมะ ผู้เป็นต้นตระกูลโชกุนแห่งคะมะกุระ ได้ย้ายศาลเจ้ามาตั้งที่ตำแหน่ง ณ ปัจจุบันนี้เมื่อปี พ.ศ. 1734 และได้อัญเชิญฮาจิมัง เทพแห่งสงคราม มาประดิษฐานที่ศาลเจ้าเพื่อให้เป็นเทพคุ้มครองตระกูล
ในบริเวณศาลเจ้าแห่งนี้มีอาคารที่ตั้งแท่นบูชาอยู่จำนวนหนึ่ง ที่มีความสำคัญที่สุดคือ แท่นบูชาเล็กที่ตั้งอยู่ด้านล่างสุดของเนินที่ตั้งศาลเจ้า และแท่นบูชาใหญ่ที่ตั้งอยู่เหนือขึ้นไป 61 ขั้นบันได อาคารแท่นบูชาใหญ่ในปัจจุบันนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1828 โดยโทคุงาวะ อิเอนาริ โชกุนคนที่ 11 แห่งตระกูลโทคุงาวะ
ถนนทางเข้าศาลเจ้ามีต้น
ซากุระเรียงรายอยู่สองข้างทาง ซึ่งปลูกถวายศาลเจ้าโดยโยริโทโมะในโอกาสที่บุตรชายคนแรกสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย และศาลเจ้าแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ฝึกสอน "ยาบุซาเมะ" หรือการยิงธนูจากบนหลังม้า
ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ มินะโมะโตะ ซะเนะโตะโมะ โชกุนแห่งคะมะกุระคนที่ 3 ถูกลอบสังหารโดยนักยิงธนูที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้น
แปะก๊วย เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 1762 ปัจจุบันต้นแปะก๊วยนี้ยังคงยืนต้นอยู่ด้านหลังทางเดินบันไดภายในศาลเจ้า

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

วอลแตร์





วอลแตร์ (Voltaire 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2237 - 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2321) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีชื่อเดิมว่า ฟรองซัวส์ มารี อรูเอต์ (François-Marie-Arouet) เกิดที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2237 (ค.ศ. 1694) ในตระกูลคนชั้นกลาง
ประวัติ
วอลแตร์เป็นคนมีการศึกษาดี ฉลาด มีไหวพริบ และมีความสามารถพิเศษทางวรรณศิลป์ เมื่อเขาเข้าศึกษาในโรงเรียนหลุยส์-เลอ-กรอง (Louis-le-Grand) ที่มีชื่อของพระนิกายเยซูอิต ทำให้วอลแตร์มีความสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ร่วมสมัย การเมือง ตลอดจนวรรณกรรมของนักเขียนกรีกโรมัน ซึ่งมีอิทธิพลทำให้เขามีรสนิยมแบบคลาสสิก เมื่อเขาจบการศึกษาวอลแตร์ก็ทำงานเป็นทนายความ แต่ความที่เขาเป็นคนหัวแข็งและชอบขบถ จึงไม่ชอบอาชีพนี้เลย เพราะเขาคิดว่าเป็นตำแหน่งที่ ”ซื้อเอาได้” เขาอยากทำงานที่ ”ไม่ต้องซื้อหา”

วอลแตร์หันมาเขียนหนังสืออย่างจริงจังเมื่ออายุได้ 20 ปี เขาชอบเขียนหนังสือประเภทเสียดสีสังคมอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าเขาจะคบหาสมาคมกับชนชั้นสูงก็ตามแต่เขาก็ไม่ละเว้นที่จะโจมตีชนชั้นนี้ และในปี พ.ศ. 2260 (ค.ศ. 1717) เขาเขียนกลอนล้อเลียนผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน (Duc d’Orléans) ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 จึงถูกส่งเข้าคุกบาสตีย์ ขณะที่อยู่ในคุกเขาเขียนบทละครโศกนาฏกรรมเรื่องแรกขึ้นชื่อ เออดิปป์ (Œdipe) ในปี พ.ศ. 2261 (ค.ศ. 1718) เพื่อต่อต้านความเชื่อทางศาสนา ต่อต้านความเชื่อเรื่องโชคเคราะห์ และชะตาลิขิต และเพื่อเน้นความสำคัญทางเสรีภาพของมนุษย์ ละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เมื่อนำออกแสดงภายหลังที่เขาพ้นโทษ ก็ส่งผลให้วอลแตร์มีฐานะทัดเทียมกับกอร์เนย (Corneille) และ ราซีน (Racine) นักเขียนบทละครโศกนาฎกรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 17 และทำให้เขาได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างหรูหราในราชสำนัก ต่อมาเขาได้ใช้ชื่อ วอลแตร์ (Voltaire) ซึ่งเป็นชื่อที่เขาคิดขึ้นแทนชื่อเดิม

ในปี พ.ศ. 2269 (ค.ศ. 1726) วอลแตร์ถูกขังคุกอีกครั้ง เนื่องจากมีเรื่องพิพาทกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งคือ ดุ๊ค เดอ โรออง-ชาโบ (Duc de Rohan-Chabot) เมื่อออกมาจากคุกเขาถูกเนรเทศไปประเทศอังกฤษ (พ.ศ. 2269 - 2271) ทำให้เขาได้มีโอกาสศึกษาปรัชญาของ จอห์น ล็อก (John Locke) นักปราชญ์ชาวอังกฤษและผลงานของ วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) ที่มีอิทธิพลต่องานละครและผลงานอื่นของเขาในเวลาต่อมาเป็นอย่างมาก บทละครของวอลแตร์ที่ได้รับอิทธิพลจากเช็คสเปียร์ คือ Zaïre และ Brutus เพียงปีเดียวในประเทศอังกฤษ เขาก็มีผลงานเขียนเป็นภาษาอังกฤษชื่อ Essay Upon Epic Poetry นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2271 (ค.ศ. 1728) เขาก็ได้พิมพ์มหากาพย์ชื่อ La Henriade เพื่อสดุดีพระเจ้าอองรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ในฐานะกษัตริย์ที่ทรงขันติธรรมในด้านศาสนา เนื่องจากทรงเป็นผู้บัญญัติ “L’Edit de Nantes” ซึ่งเป็นกฎหมายที่ช่วยให้สงครามระหว่างพวกคาธอลิกและโปรแตสแตนท์ยุติลงได้ ซึ่งมหากาพย์นี้ไม่สามารถตีพิมพ์ในประเทศ ฝรั่งเศสเนื่องจากไม่เป็นที่พอใจของราชสำนัก รัฐสภาและพระสันตะปาปา

นอกจากนี้ วอลแตร์ยังนิยมความคิดของนิวตัน (Newton) นักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ และนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษเป็นอย่างมาก เขาแปลงานของนิวตัน และยังเขียนหนังสือว่าด้วยทฤษฎีของนักวิทยา-ศาสตร์ผู้นี้อีกหลายเล่ม วอลแตร์เห็นว่าแนวความคิดของนิวตันก่อให้เกิดการปฏิวัติในภูมิปัญญาของมนุษย์ เพราะนิวตันเชื่อว่าความจริงย่อมได้จากประสบการณ์และการทดลอง เขาไม่ยอมรับสมมติฐานใด ๆ โดยอาศัยสูตรสำเร็จโดยวิธีของคณิตศาสตร์เพียงอย่างเดียว

เมื่อกลับประเทศฝรั่งเศสวอลแตร์ก็เขียนบทความโจมตีศาสนา เมื่อบาทหลวงปฏิเสธไม่ยอมทำพิธีให้กับนักแสดงละครหญิง ซึ่งรับบทแสดงเป็นราชินีโจคาสต์ ในละครเรื่อง Œdipe นับตั้งแต่นั้นมาวอลแตร์จึงโจมตีเรื่องอคติ และการขาดขันติธรรมของศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิกอยู่เสมอ แม้จะถูกตักเตือนและถูกข่มขู่จากผู้มีอำนาจเซ็นเซ่อร์งานเขียนของเขา แต่วอลแตร์ก็ไม่เคยเกรงกลัว นอกจากนี้เขายังเปิดโปงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็นว่าไม่ถูกต้อง

เขาเกือบถูกจับอีกครั้งเมื่อพิมพ์หนังสือชื่อ จดหมายปรัชญา (Les Lettres philosophiques ou Lettres anglaises) ออกมาในปี พ.ศ. 2277 (ค.ศ. 1734) จดหมายปรัชญา มีทั้งความคิด เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่เขียนด้วยโวหารที่คมคาย พร้อมด้วยการเสียดสีที่ถากถาง วอลแตร์วิพากษ์วิจารณ์ทั้งศาสนา การเมือง วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และจบลงด้วยการวิจารณ์แบลส ปาสกาล (Blaise Pascal) นักคิดคนสำคัญทางด้านศาสนาในศตวรรษที่ 17 ผลงานชิ้นนี้ทำให้วอลแตร์กลายเป็นนักปราชญ์ที่ไม่เคยทำให้ผู้อื่นเบื่อ เป็นงานที่ลีลาการเขียนเฉพาะตัวของเขาเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน และด้วยหนังสือเล่มนี้ทำให้เขาต้องหนีไปอยู่ที่วังซิเรย์ (Cirey) ของ มาดาม ดู ชาเตอเล่ท์ (Madame du Châtelet) ในแคว้นลอแรนน์ หล่อนเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์และทรงความรู้ ทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันยาวนานถึง 17 ปี วอลแตร์รักหล่อนมาก นับว่าหล่อนเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญอีกคนหนึ่ง

ตลอดเวลาที่พักอยู่วังซิเรย์ วอลแตร์จะเขียนหนังสืออยู่ไม่หยุด และจะสนใจศึกษาเรื่องวิทยาศาสตร์ด้วย เขามีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ เช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประเทศเบลเยี่ยม ประเทศปรัสเซีย ซึ่งเขาได้กลายเป็นคนโปรดของพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งประเทศปรัสเซีย (Frederic II roi de Prusse) ในปี พ.ศ. 2288 (ค.ศ. 1745) วอลแตร์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนักประวัติศาสตร์แห่งชาติ และปีต่อมาก็ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกราชบัณฑิตยสถานของฝรั่งเศส (l’Académie française) และยังได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางอีกด้วย จากการที่วอลแตร์เป็นคนที่มีความสามารถ เขาจึงได้กลายเป็นที่โปรดปรานของ มาดาม เดอ ปอมปาดูร์ (Madame de Pompadour) พระสนมเอกของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แต่อย่างไรก็ตามชีวิตของเขาก็เริ่มตกอับ กล่าวคือเขาเริ่มเบื่อหน่ายกับชีวิตในราชสำนัก ที่มีแต่การเอารัดเอาเปรียบ การแก่งแย่งชิงดี ประจบสอพลอ อีกทั้งมาดาม ดู ปอมปาดูร์ ก็หันไปโปรดกวีคนใหม่คือ Crébillon และยิ่งร้ายไปกว่านั้นในปี พ.ศ. 2292 (ค.ศ. 1749) มาดาม ดู ชาเตอเล่ย์ ก็ได้เสียชีวิตลง วอลแตร์จึงรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างมาก ชะตาชีวิตระหว่างปี พ.ศ. 2286 - 2290 นี้ นับเป็นแรงบันดาลใจให้เขาแต่งนวนิยายเชิงปรัชญาที่สำคัญ คือ ซาดิก (Zadig ou La Destineé) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2291 (ค.ศ. 1748)

นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2293 (ค.ศ. 1750) เขาได้รับเชิญจากพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 ให้ไปอยู่ในราชสำนัก ระหว่างที่พักอยู่ที่ราชสำนักเบอร์ลินเขาได้ตีพิมพ์ผลงานที่สำคัญสองเรื่อง คือ ศตวรรษพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (Le Siècle de Louis XIV) และนิทานปรัชญาเรื่อง มิโครเมกาส (Micromégas) ต่อมาไม่นานวอลแตร์กลับได้พบความผิดหวังในตัวพระองค์อย่างรุนแรง เพราะพระองค์ทรงเห็นวรรณคดีและปรัชญาเป็นเพียงเครื่องเล่นประเทืองอารมณ์เท่านั้น อีกทั้งพระองค์ทรงเล่นการเมืองด้วยความสับปรับ และเมื่อมีปัญหากับพระเจ้า-เฟรเดอริคที่ 2 วอลแตร์ก็ได้ไปตั้งรกรากอยู่ในกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่คฤหาสน์ เล เดลิซ (Les Délices) และอยู่ที่นั่นกับหลานสาวชื่อมาดามเดอนีส์ (Madame Denis) ซึ่งมีความสัมพันธ์กันมาได้สิบปีแล้ว ในปี พ.ศ. 2300 วอลแตร์ซื้อคฤหาสน์ใหม่ที่แฟร์เนย์ (Ferney) ในประเทศฝรั่งเศสติดชายแดนสวิสเซอร์แลนด์ และเขาได้เริ่มเขียนนิทานปรัชญาเรื่อง ก็องดิดด์ หรือ สุทรรศนิยม (Candide ou L’optimisme) ในปีต่อมา ซึ่งถือกันว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของเขาอีกเรื่องหนึ่งเลยที่เดียว ผลงานชิ้นนี้ได้ยืนยันความเป็นปราชญ์ของวอลแตร์ ผู้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความคิดวิพากษ์ วิจารณ์ในศตวรรษที่18 ได้เป็นอย่างดี

ระหว่างในปี พ.ศ. 2305 – 2308 วอลแตร์ได้ช่วยเหลือครอบครัวกาลาส (Calas) โดยการเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ ฌอง กาลาส ผู้เป็นบิดาซึ่งถูกตัดสินลงโทษจนเสียชีวิต จากข้อกล่าวหาว่าฆ่าลูกชายที่ประสงค์จะเปลี่ยนไปนับถือนิกายคาทอลิก เขาจึงได้เขียน บทความว่าด้วยขันติธรรม (Traité sur la tolérance)

ในปี พ.ศ. 2306 ซึ่งพูดถึงการยอมรับศาสนาที่แตกต่างกันออกไปเพื่อช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับครอบครัวกาลาส เหตุที่เขาเข้าไปช่วยเพราะเขาเห็นว่าไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการลงโทษประหารชีวิต ผู้บริสุทธิ์ และคำตัดสินใหม่ก็ทำให้ตระกูลกาลาสพ้นผิด ภรรยาและบุตรธิดาของฌอง กาลาสก็ได้รับทรัพย์สมบัติของตระกูลคืน จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้วอลแตร์เปรียบเสมือนวีรบุรุษแห่งตำนาน เป็นประทีปแห่งปัญญาที่ไม่เคยมีปัญญาชนคนใดเคยทำมาก่อน

ช่วงนี้วอลแตร์ก็ยังมีผลงานคือ ปทานุกรมปรัชญา หรือ Le Dictionnaire Philosophique ในปี พ.ศ. 2307 (ค.ศ. 1764) อีกด้วย อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะมีความขัดแย้งกับผู้คนจำนวนมาก เพราะความกล้าที่จะเสียดสีสังคมของเขา แต่ในตอนบั้นปลายชีวิตของวอลแตร์ เขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างทรงเกียรติ เมื่อเดินทางกลับมายังกรุง ปารีส ซึ่งโรงละครโกเมดี ฟรองเซส (La Comédie Française) จัดแสดงละครโศกนาฏกรรมเรื่องสุดท้ายที่วอลแตร์แต่งคือ อิแรนน์ (Irène) เพื่อฉลองการกลับมาถึงกรุงปารีสของเขา โดยที่ช่วงก่อนการแสดง ช่วงสิ้นสุดแต่ละองค์ และช่วงจบการแสดง นักแสดงได้นำรูปปั้นครึ่งตัวของวอลแตร์ขึ้นบนเวที ฝูงชนก็ตบมือและส่งเสียงเรียกชื่อของเขาดังกึกก้อง

ศตวรรษต่อมาวิคตอร์ ฮูโก (Victor Hugo) กล่าวว่า "วอลแตร์ คือ 1789" เพราะความคิดของ วอลแตร์มีอิทธิพลต่อประชาชนผู้ลุกฮือขึ้นมาทำการปฏิวัติใหญ่ในประเทศฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2332 จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เมื่อวอลแตร์เสียชีวิตไปในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2321 (ค.ศ. 1778) ขณะที่มีอายุได้ 84 ปีนั้น ทางศาสนาไม่อยากทำพิธีศพให้ แต่เมื่อประชาชนทำการปฏิวัติได้สำเร็จ ก็ได้นำอัฐิของเขาไปยังวิหารปองเตอง (Le Panthéon) ในปี 1791 ในฐานะผู้ที่ประกอบคุณอนันต์ให้แก่ประเทศฝรั่งเศส
ผลงานของวอลแตร์
ผลงานของวอลแตร์มีจำนวนมากมาย หลากหลายประเภททั้งบทละคร นิยาย นิทานเชิงปรัชญา ประวัติศาสตร์ และบทกวี เขาได้รับยกย่องจากคนร่วมสมัยว่าเป็นนักเขียนบทละครชั้นนำและกวีชั้นนำ แต่ในปัจจุบันเขากลับเป็นที่ยกย่องในฐานะนักเขียนเชิงเสียดสี วิพากษ์วิจารณ์ (Le symbole de l’esprit critique) ผลงานของเขาส่วนใหญ่เป็นการเผยแพร่ความคิดทางปรัชญาไปสู่สาธารณชน เพื่อปลุกความคิดวิพากษ์วิจารณ์ให้แก่ชาวฝรั่งเศส เพื่อต่อต้านความคิดระบบสถาบันแบบเก่า การต่อสู้เพื่อขจัดความอยุติธรรมในสังคม รวมทั้งความเชื่อที่งมงายและความบ้าคลั่งทางศาสนา นอกจากนี้เขายังส่งเสริมเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพและการแสดงความคิดเห็นอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

พระราชวังเคียงบกกุง

หลังจากแอมแนะนำแต่สถานที่ท่องเที่ยวทางฝั่งยุโรปมาตลอดวันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวทางฝั่งเอเชียบ้างเริ่มด้วยประเกทศเกาหลีเลยไป ไป! ดูกันเลย


สุดปลายทางด้านเหนือของ ถนนเซจองโนของกรุงโซล เราจะเห็น พระราชวังเคียงบกคุง ตั้งโดดเด่นเป็นสง่า นี่คือ พระราชวังเคียงบกคุง
พระราชวังคยองบก หรือ เคียงบก Gyeongbokgung Palace (เกาหลี: 경복궁)
สุดปลายทางด้านเหนือของ ถนนเซจองโนของกรุงโซล เราจะเห็น พระราชวังเคียงบกคุง ตั้งโดดเด่นเป็นสง่า นี่คือ พระราชวังเคียงบกคุง
พระราชวังเคียงบ๊อก พิพิธภัณท์พื้นบ้านพระราชวังเคียงบ๊อกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1394 สมัยราชวงศ์โซซอน เป็นศูนย์ บัญชาการและที่ประทับของกษัตริย์เมื่อสมัย600ปีก่อนเยี่ยมชมท้องพระโรง พลับพลากลางน้ำ ภายในพระราชวังมี พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่จำลองชีวิตความเป็นอยู่ตลอดจนศิลปวัฒนธรรมของชนชาติ เกาหลีในอดีต ตลอดจนผ่านชม ทำเนียบและบ้านประธานาธิบดีคนปัจจุบัน



คุ้นๆๆๆกันใช่มั๊ยล่ะกับภาพ 2 อันนี้ ก็นี่คือที่ถ่ายทำของเรื่อง "ลีซานงัย"

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

มหาวิหารเซนต์ฟรานซิสแห่งอาซิซิ


มหาวิหารเซนต์ฟรานซิสเริ่มสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 13 เป็นมหาวิหารที่มีด้วยกันสามชั้น ส่วนล่างเริ่มสร้างไม่นานหลังจากที่ฟรานซิสได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักบุญเมื่อปี ค.ศ. 1228 ซิโมเน ดิ พูเชียเรลโล (Simone di Pucciarello) เป็นผู้อุทิศที่ดินและบริเวณเนินเขาทางด้านตะวันตกของเมืองอาซิซิให้เป็นที่สร้างวัด ที่ดินบริเวณนี้แต่เดิมเรียกว่า “เนินนรก” (ภาษาอิตาลี: Collo d'Inferno; ภาษาอังกฤษ: Hill of Hell) แต่ปัจจุบันเรียกกันว่า “เนินสวรรค์” (Hill of Paradise)
สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 9ทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1228 แม้ว่าการก่อสร้างอาจจะเริ่มต้นแล้วก็ได้ ผู้ออกแบบและคุมงานคือหลวงพ่อเอเลีย บอมบาร์โดเน (Elia Bombardone) ผู้เป็นสาวกคนสำคัญของนักบุญฟรานซิสและเคยเป็นผู้สอนศาสนาที่ซีเรีย ชั้นล่างของวัดสร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1230 เมื่อวัน Pentecost ซึ่งเป็นวันฉลอง 50 วันหลังจากอีสเตอร์เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1230 ก็มีการนำร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของนักบุญฟรานซิสจากที่เก็บชั่วคราวที่วัดเซนต์จอร์จซึ่งปัจจุบันเป็นบาซิลิกาเซนต์แคล (Basilica of St. Clare) มาไว้ที่ส่วนล่างของมหาวิหารที่สร้างเสร็จ
มหาวิหารชั้นบนเริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1239 และเสร็จเมื่อ ค.ศ. 1253 ลักษณะการก่อสร้างเป็นแบบ
โรมาเนสก์ผสมกอธิคฝรั่งเศส ซึ่งเป็นตัวอย่างของการก่อสร้างคริสต์ศาสนสถานลักษณะกอธิคอิตาลีต่อมา
การตกแต่งของมหาวิหารทำโดยศิลปินสำคัญๆ ในยุคนั้นจาก
โรม ทัสเคนี และ อุมเบรีย ฉะนั้นนอกจากเป็นศาสนสถานสำคัญแล้วมหาวิหารเซนต์ฟรานซิสแห่งอาซิซิจึงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ศิลปะของอิตาลีด้วย ชั้นล่างมีจิตรกรรมฝาผนังของจิตรกรผู้มีชื่อเสียง เช่น ชิมาบูเย และจอตโต ดี บอนโดเน ผู้ซึ่งวาดชั้นบนของมหาวิหารเป็นชีวประวัติของ นักบุญฟรานซิสด้วย
สมเด็จพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 4 ซึ่งอดีตเป็น Minister General ของ ลัทธิฟรานซิสกันได้เลื่อนฐานะของวัดขี้นให้เป็นวัดสันตะปาปาเมื่อ ค.ศ. 1288
จัตุรัสเดลเลลอจเจ (Piazza delle Logge) ที่เป็นลานหน้าวัดและทางเดินไปสู่วัดสร้างเมื่อค.ศ. 1474 ใช้เป็นที่พักพิงของนักแสวงบุญที่พากันมาสักการะนักบุญฟรานซิส
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1986 และ เดือนมกราคม ค.ศ. 2002
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ทรงเสด็จมาที่มหาวิหารเพื่อจะสวดมนต์เพื่อความสันติสุข
เมื่อวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 1997 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 816 ปีของวันเกิดของนักบุญฟรานซิสก็เกิดมีแผ่นดินไหวที่อาซิซิทำให้คนตายไป 4 คน มหาวิหารได้รับความเสียหายอย่างหนักต้องปิดเป็นเวลาสองปีก่อนที่จะซ่อมเสร็จ

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"เซอร์เบอรัส" สัตว์ที่น่ารักของฮาเดส


เซอร์เบอรัส หรือ เคอร์เบอรอส (อังกฤษ: Cerberus ; กรีก: Κέρϐερος (Kerberos) แปลว่า ปีศาจในหลุม) เป็นสัตว์ในเทพปกรณัมกรีก มีรูปร่างเป็นสุนัขสีดำใหญ่โตพ่วงพี มี 3 หัว ปลายสุดของหางเป็นงู (บางตำนานว่าเป็นหางมังกร) เซอร์เบอรัสมีหน้าที่เฝ้าทางลงสู่นรกที่หน้าประตูทางเข้า ตรุทาร์ทะรัส
เซอร์เบอรัสเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของ
ฮาเดส (Hades) มันจะยอมให้วิญญาณของคนทุกคนเข้าประตู แต่จะไม่ยอมให้กลับออกมาเป็นอันขาด เมื่อไปถึงประตูนี้ วิญญาณแต่ละดวงจะถูกพาไปรับคำพิพากษาของ สามเทพสุภาคือ ราดาแมนทีส ,ไมนอส และ ไออาคอส. วิญญาณที่ชั่วร้ายจะถูกพิพากษาให้ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในตรุทาร์ทะรัสไปชั่วกัลป์ ส่วนวิญญาณที่ดีจะได้รับคำพิพากษาให้พาไปอยู่ยัง ทุ่งอีลิเซียน แดนสุขาวดีของกรีก
เซอร์เบอรัสยังเป็นภาระกิจที่ 12 ของ
เฮราคลีสอีกด้วย เรื่องราวก็เนื่องจาก เทพีเฮรากลั่นแกล้งให้เฮราคลีสวิกลจริต และทำความผิดหลาย อย่าง เช่น ฆ่าทายาทของตัวเอง, เฮราคลีสจึงต้องรับโทษ โดยให้อยู่ใต้อำนาจของกษัตริย์ที่อ่อนแอ เป็นเวลาถึง 12 ปี และต้องทำภาระกิจ 12 ประการให้เสร็จสมบูรณ์ จึงจะพ้นโทษ ภารกิจ 12 ประการนั้น ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการพิชิตปีศาจ หรือไม่ก็สยบสัตว์อิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ การจับเซอร์เบอรัสมาให้กษัตริย์ของเขาก็เป็นหนึ่งในภาระกิจด้วย และเฮราคลีสก็สามารถจับเซอร์เบอรัสได้ด้วยพลังอันมหาศาลของเขา นอกจากเฮราคลีสแล้ว ออร์ฟิอุสเคยใช้เสียงเพลงสะกดเซอร์เบอรัสให้เชื่องขณะเข้าไปในยมโลกเพื่อคืนชีพให้คนรัก ในตำนานของโรมัน ไซคีได้ทำให้เซอร์เบอรัสหลับด้วยเค้กน้ำผึ้งใส่ยานอนหลับ

เซอร์เบอรัส (ปุกปุย) นิยายชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์
แม่ของเซอร์เบอรัสเป็นอสุรกายชื่อ อีคิดน่า (กรีก: Echidna) เป็นพี่น้องของพวกกอร์กอนส์ทั้งสาม อีคิดน่ารูปร่างหน้าตาสวยงามเฉพาะท่อนบน แต่ท่อนล่างลงมาเป็นงูยักษ์มหึมา และได้มามีสัมพันธ์กับอสุรกายอีกตนหนึ่งคือ ไทฟอน (Typhon) ซึ่งลูกๆของไทฟอนและอีคิดน่าล้วนแต่เป็นสัตว์ประหลาดดุร้าย นอกจากเซอร์เบอรัสแล้วก็คือ ไฮดรา, ออทรัส, สิงโตเนเมีย, ไคเมร่า และ สฟิงซ์ แต่นอกจากเซอร์เบอรัสซึ่งได้เป็นสัตว์เลี้ยงของฮาเดสแล้ว พี่น้องทั้งหมดของเซอร์เบอรัสก็ถูกวีรบุรุษในตำนานกรีกสังหารเสียสิ้น
นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่า นาเบเรียส มาควิสแห่งนรกผู้ช่ำชองในศาสตร์ต่างๆโดยเฉพาะการปลุกภูติผีและเป็นหนึ่งใน 72 ปิศาจซึ่งกล่าวถึงในบท อาร์สโกเอเทียของตำราเวทย์
กุญแจย่อยของโซโลมอน ก็คือเซอร์เบอรัสนั่นเอง

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คุณรู้จักสัตว์ในตำนานอย่าง "กริฟฟอน" มั้ย !


กริฟฟอน หรือ กริฟฟิน (อังกฤษ: griffin, gryphin, griffon หรือ gryphon) คือสัตว์ในเทพนิยายร่างกายเป็นครึ่งนกอินทรี ครึ่งสิงโต โดยส่วนหัว ขาคู่หน้าและปีก เป็นนกอินทรี ส่วนลำตัวและขาคู่หลังเป็นสิงโต และมีหางเป็นงู บางจำพวกก็มี หางของสิงโต ขนบนหลังเป็นสีดำ ขนที่อยู่ข้างหน้าเป็นสีแดง ส่วนขนปีกเป็นสีขาว อาศัยอยู่ในถ้ำตามภูเขา
ตามตำนานกรีก กริฟฟินเป็นสัตว์เทพผู้พิทักษ์เหมืองทองคำของดินแดนไฮเปอร์โบเรีย (ดินแดนในตำนานซึ่งอยู่ทางขั้วโลกเหนือ มีแสงอาทิตย์ และความอุดมสมบูรณ์ตลอดกาล), เป็นรูปจำแลงของเทพีเนเมซิส เทพแห่งความพยาบาท ซึ่งทำหน้าที่หมุนวงล้อแห่งโชคชะตา, นอกจากนี้ยังเป็นผู้ลากรถม้าของพระอาทิตย์ (เทพอพอลโล) อีกด้วย
กริฟฟินนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ และบางครั้งยังถือว่ากริฟฟินเป็นสัญลักษณ์ของความหยิ่งยโสอีกด้วย
ในยุคแรก กริฟฟินถูกเปรียบเทียบให้เป็นเหมือนกับซาตาน ที่คอยล่อลวงวิญญานของมนุษย์ให้ติดกับ แต่ต่อมากริฟฟินก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของทั้งทวยเทพ และมนุษย์ สำหรับพระเยซู เพราะมันเป็นเจ้าแห่งพิภพและเวหา อีกทั้งมีรังสีแห่งแสง อาทิตย์ ศัตรูของกริฟฟินคือ
บาซิลิสก์ ซึ่งเปรียบได้กับรูปจำลองของซาตาน
ปัจจุบันสามารถพบเห็นกริฟฟินได้ทั่วไปจากงานศิลปะในหลาย ๆ วัฒนธรรม และพบได้ในตราประจำตระกูล รูปสัตว์ต่าง ๆ , ประติมากรรมเก่าแก่, โมเสกนูนต่ำ, นิทาน และในตำนานต่าง ๆ ทั่วโลก

มาท่องเที่ยวโปแลนด์กัน... ไป!




เมืองคราโคฟ์ เป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางวัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่สุดแห่งโปแลนด์และมหาวิทยาลัย Jagielloinion เป็นสำนักการศึกษาชั้นนำแห่งโปแลนด์
อนุสาวรีย์ของเฟเดอริค โชแปง นักดนตรีผู้มีชื่อเสียงระดับโลก และปราสาทเบลเวแดร์ ที่ซึ่งในสมัยยังเป็นเด็ก โชแปงได้ใช้แสดงคอนเสิร์ตตามคำเชิญของแกรนด์ ดยุคคอน แสตนตี้





จัตุรัสกลางเมือง และ อนุสาวรีย์ของกษัตริย์ซิกิมุนด์ อีกทั้งสิ่งก่อสร้างที่งดงามต่างๆ มากมายในช่วงศตวรรษที่ 15 อันยังคงสวยงามอยู่ จนทุกวันนี้





พระราชวังลาเซียนกี้ ในกรุงวอร์ซอว์ เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์และเป็นพระราชวังทางประวัติศาสตร์ ที่ล้อมรอบด้วยสวนสวยงาม อันตั้งอยู่ใจกลางเมืองวอร์ซอว์ ปัจจุบันได้กลายเป็นที่เดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจสำหรับประชาชนทั่วไป




ย่านเมืองเก่าของกรุงวอร์ซอว์ เมืองหลวงของโปแลนด์ ซึ่งองค์การยูเนสโกประกาศให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก ซึ่งสถาปัตยกรรมต่างๆ ในย่านนี้ได้ถูกสร้างขึ้นในราวปลาย ศตวรรษที่ 13 และถูกบูรณะจนเสร็จสมบูรณ์ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง













วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553


เซนทอร์ (อังกฤษ: centaur; มาจากภาษากรีกโบราณ κένταυροι) เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งในเทพปกรณัมกรีก มีร่างส่วนบนเป็นมนุษย์ผู้ชาย แต่ส่วนลำตัวลงไปเป็นม้าหนุ่มที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ สง่างาม อาศัยอยู่แถบภูเขาของอาคาเดีย และเทสสาลีในประเทศกรีซ
เซนทอร์มีสองตระกูล โดยตระกูลหนึ่งเกิดจาก อิคซอน อันธพาลแห่งสวรรค์ที่ขึ้นชื่อ กับอีกตระกูลที่เกิดจากโครนัส ฝ่ายหลังมีอุปนิสัยดีแตกต่างจากฝ่ายแรกมาก
เซนทอร์ตระกูลอิคซอน เกิดจากอิคซอนกับ
เนฟีลี มีพละกำลังมาก ชอบดื่มไวน์กับชอบไล่คว้าผู้หญิง ซ้ำชอบทะเลาะเวลาเมา เซนทอร์จึงถูกมองว่าเป็นพวกขี้เมาไม่กลัวใครทั้งสิ้น
เซนทอร์ตระกูลโครนัสต่างกับตระกูลอิคซอน เป็นเซนทอร์แสนดี โครนัสแต่งงานกับ
ฟีลีร่า นางอัปสรน้ำผู้เลอโฉม มีลูกชื่อไครอน ซึ่งเป็นผู้คงแก่เรียน มีความสุขุมรอบคอบจนได้รับเลือกให้เป็นอาจารย์ของเหล่าวีรบุรุษหลายคนในตำนานกรีก เช่น อคิลลีส, เฮอร์คิวลีส, เจสัน, พีลูส, อีเนียส และบรรดาลูกศิษย์ของเขาก็ประพฤติตัวตามแบบครูบาอาจารย์ได้เป็นอย่างดี

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Franz Liszt

Franz Liszt (Hungarian: Ferencz Liszt, in modern use Ferenc Liszt,[note 1] from 1859 to 1867 officially Franz Ritter von Liszt)[note 2] (October 22, 1811 – July 31, 1886) was a Hungarian composer, virtuoso pianist and teacher.
Liszt became renowned throughout Europe during the 19th century for his great skill as a performer. He was said by his contemporaries to have been the most technically advanced pianist of his age and perhaps the greatest pianist of all time.
[4] He was also an important and influential composer, a notable piano teacher, a conductor who contributed significantly to the modern development of the art, and a benefactor to other composers and performers, notably Richard Wagner, Hector Berlioz, Camille Saint-Saëns, Edvard Grieg and Alexander Borodin.
As a composer, Liszt was one of the most prominent representatives of the "
Neudeutsche Schule" ("New German School"). He left behind a huge and diverse body of work, in which he influenced his forward-looking contemporaries and anticipated some 20th-century ideas and trends. Some of his most notable contributions were the invention of the symphonic poem, developing the concept of thematic transformation as part of his experiments in musical form and making radical departures in harmony.

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Columbia Pictures (โคลัมเบีย พิคเจอร์ส)


ค่ายนี้ถือกำเนิดครั้งแรกตั้งแต่ปี 1919 โดยพี่น้อง แฮร์รี่ และ แจ็ค คอห์น ภายใต้ชื่อ Cohn-Brandt-Cohn เป็นบริษัทที่สร้างแต่หนังทุนต่ำ จากนั้นก็พัฒนาเป็นโคลัมเบีย พิคเจอร์ในปี 1924 ภายหลังบริษัท Sony (ของพี่ยุ่น)ได้เข้ามาซื้อสตูดิโอและได้บริษัทไทรสตาร์(Columbia Tristar=มีโลโก้ม้ามีปีกบินได้น่ะค่ะ โดยจะเน้นหน้งเล็ก ๆ พวกโรแมนติคคอมมิดี้) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของโคลัมเบียในขณะนั้นแถมมาด้วย ภายหลังจึงได้ตั้งบริษัทโซนี่พิกเจอร์(ปัจจุบันเรียกทั้งเครือรวมกันว่า Sony Pictures Entertainment's Columbia TriStar Motion Picture Group )ขึ้นมาเพื่อจัดจำหน่ายหนังของทั้งโคลัมเบียและไทรสตาร์ ปัจจุบันก็มีค่าย Screen gems ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ก่อตั้งในปี1940(เริ่มมีสตูดิโอ1999)แยกและผลิตหนังออกมาอีกด้วย ค่ายนี้มีโลโก้ที่ชวนจดจำเป็นรูป “The Torch Lady (เทพีคบเพลิง)” ค่ะ โดยมีต้นแบบมาจาก เซเรเน่ เทพีแห่งดวงจันทร์ในเทพนิยายกรีก เหมือนกับต้นแบบของเทพีเสรีภาพ จากนั้นโลโก้เทพีคบเพลิงก็มีการพัฒนามาเรื่อยๆ โดยมีหญิงสาวที่เป็นต้นแบบมาแล้วหลายคน จนกระทั่งในเวอร์ชั่นปัจจุบันที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1993 นั้นออกแบบโดย ไมเคิล เจ.ดิแอส ได้ต้นแบบคือ เจนนี่ โจเซฟ สาวแม่บ้านธรรมดาคนหนึ่งที่ดิแอสเลือกมาค่ะ สำหรับหนังดังๆของ"Columbia Picture"ก็เช่น นางฟ้าชาลี ,Spiderman,อนาคอนดา S.W.A.T ,007 Casino Royal,Hancock ฯลฯ หรือของ"Screen gems"ก็มีค่ะ ดังๆหน่อยก็เช่น ผีชีวะ,สงครามโค่นพันธุ์อสูร(Under world)ค่ะ

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

“เมลเบิร์น” เมืองระดับโลก


จะไปเที่ยวออสเตรเลีย ผู้คนมักจะนึกถึง “ซิดนีย์” มากกว่าเมืองอื่นๆ แต่จริงๆ แล้ว ทวีปออสเตรเลียมีแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกอยู่อีกมากมาย “เมลเบิร์น” ก็เป็นอีกเมืองหนึ่งที่น่าสัมผัส... เดือนมกราคมของทุกปี นักเทนนิสมือหนึ่งและมือระดับโลกจากทั่วโลก จะเดินทางมาแข่งขันเทนนิสแกรนด์สแลมแรกนั่นคือ “ออสเตรเลียน โอเพ่น 2007” ณ สนามเมลเบิร์น ปาร์ค ริมฝั่งแม่น้ำยาร์ราที่ไหลผ่านกลางเมือง ในปีนี้ การแข่งขันเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 15-28 มกราคม เป็นเวลาสองสัปดาห์ที่มีผู้เข้าชมนับแสน ณ สนามกีฬากึ่งมัลติสปอร์ตบันเทิงที่พร้อมจัดการแสดงอื่นๆ ได้อีก เป็นที่ที่มีความพร้อมที่สุดของโลก การท่องเที่ยวเพื่อการชิมอาหารและเทศกาลอาหารต่างๆ กำลังเริ่มได้รับความนิยมในเมืองเมลเบิร์น มีเทศกาลอาหารและไวน์ตลอดทั้งเดือนที่จัดในเดือนมีนาคม
ถัดมาจะมีเทศกาลเก็บเกี่ยวในเขตพื้นที่ปลูกองุ่นและผลิตไวน์ หลายแห่งจัดงานอาหารพิเศษประจำปีขึ้น โดยเฉพาะสุดสัปดาห์จะเป็นอาหารพิเศษของหุบเขาแคลร์ ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด “เมลเบิร์น” ยังคงรักษาความงามที่คลาสสิกด้านสถาปัตย์ยุควิคตอเรียนับร้อยปีของเมืองที่เต็มไปด้วยต้นไม้ครึ้ม สวนฟิทซ์รอย สวนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ มีกระท่อมกัปตันคุก นักสำรวจชาวอังกฤษคนสำคัญของโลก ผู้ค้นพบทวีปออสเตรเลียไว้ให้ชม ที่สวยงามและน่ารัก เห็นจะเป็นรถรางและภูมิทัศน์ที่มีชีวิตชีวา บริเวณ “ฟลินเดอร์ สตรีท สเตชั่น” สถาปัตยกรรมล้ำสมัยกระจายให้ดูทั่วทุกมุมเมือง เป็นมรดกโลกตกทอดรักษากันมาแต่โบราณ เช่น ทิวทัศน์ถนน โอลเดอร์ฟลีทและเมลเบิร์น ออบเซอร์เวชั่น เดค บนถนนคอลลินส์ ร้านกาแฟสบายๆ ช่วงฤดูร้อนที่อบอุ่นจะเต็มไปด้วยผู้คนในบรรยากาศแบบสบายๆ ตามถนนที่มีร้านกาแฟและบาร์เก๋ๆ สไตล์อิตาเลียนที่ถนนแซพเพล (Chapel Street) และทูแรค (Toorak Road) ที่เซ้าท์ ยาร์รา (South Yarra) และถนนคอมเมอร์เชียล (Commercial Road) มีร้านสบายๆ .

กรุงปราก ณ สาธารณรัฐเช็ก


“ปราก” เมืองเก่าสวยมาก ความสวยงามของกรุงปราก ดินแดนของสาธารณรัฐเช็ก เป็นที่เลืองลือและมีผู้คนเดินทางไปชมเมืองที่มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปราว 2,000 ปี จึงเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันหลากหลาย เช่น โรมันเนสก์ โกธิค เรเนซองส บารอค รวมทั้งศิลปะรูปแบบต่างๆ ทำให้กรุงปรากเป็นเมืองที่แสดงให้เห็นถึงประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมัน และองค์การ UNESCO ได้เลือกให้เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม

โคลด โมเนท์


โกลด โมเน (ภาษาฝรั่งเศส: Claude Monet หรือ Oscar-Claude Monet หรือ Claude Oscar Monet) (14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1840 - 5 ธันวาคม ค.ศ. 1926)[1] เป็นจิตรกรสมัยอิมเพรสชั่นนิสม์ และเป็นจิตรกรคนสำค้ญของประเทศฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึง 20 มีความสำคัญในการเป็นผู้ริเริ่มศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์และมีบทบาทสำคัญในปรัชญาและการปฏิบัติของขบวนการนี้ ซึ่งเป็นการวาดภาพจากความประทับใจในสิ่งที่เห็นของผู้วาด (perception) แทนที่จะพยายามทำให้เหมือนจริงตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในจิตรกรรมภูมิทัศน์ (Landscape painting) [2] คำว่า “Impressionism” มาจากชื่อภาพเขียนของโมเนเองชื่อ “Impression, Sunrise” (ความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้น)

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553


ประเทศอันดอร์รา (Andorra) หรือ ราชรัฐอันดอร์รา (Principality of Andorra) (คาตาลัน: Principat d'Andorra; ฝรั่งเศส: Principauté d'Andorre; สเปน: Principado de Andorra) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีพื้นที่ขนาดเล็ก อยู่ในทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป อยู่ในเทือกเขา Pyrenees ทางตะวันออก มีอาณาเขตติดกับประเทศฝรั่งเศส และสเปน เดิมเคยเป็นประเทศอยู่โดดเดี่ยว ปัจจุบันอันดอร์รานับเป็นประเทศที่มั่งคั่งประเทศหนึ่ง โดยมีรายได้หลักจากการท่องเที่ยว และยังเป็นประเทศที่มีการเก็บภาษีที่ต่ำมากด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553


ปาสคาล บาโบต์ เป็นตำนานเชฟที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลดาวมิชลินระดับ 3 ดาว และเป็นเจ้าของห้องอาหาร “ลา สทรองซ์” (L’Astrance) ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่ได้รับรางวัลรับประกันคุณภาพมากมาย อาทิ ได้รับคะแนนเต็ม 20 จากโกลท์ มิลเลา (Gault Milau) ซึ่งเป็นหนังสือคู่มือทำอาหารที่โด่งดังที่สุดในประเทศฝรั่งเศส และล่าสุดถูกจัดอยู่ใน 50 อันดับร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลกจาก The World’s 50 Best Restaurants ซึ่งเป็นการจัดอันดับประจำปี โดยนิตยสาร Restaurant ประเทศอังกฤษ จึงเป็นที่กล่าวขานว่า “ลาสทรองซ์” เป็นหนึ่งในห้องอาหารที่จองที่นั่งยากที่สุดในโลก จึงต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 2 เดือน

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Hunyad Castle ปราสาทแดร็กคูล่า ในโรมาเนีย !


ปราสาทบรานแห่งโรมาเนีย เป็นปราสาทของเจ้าผู้ครองแคว้นทรานซิลวาเนีย อายุเก่าแก่กว่า 600 ปี วันหนึ่ง เกิดมีนักเขียนนิยายชื่อดังชาวไอริช คือ "บราม สโตเกอร์" จับความในประวัติศาสตร์ว่าเคยมีเจ้าชายนักรบชื่อ "วแลด เทเปส" มาพักที่ปราสาทนี้ แล้วไปผูกเรื่องเป็น"ท่านเคาท์แดร๊กคิวล่า" ที่กลางวันนอนโลงศพ กลางคืนลุกขึ้นมาดูดเลือดเหยื่อที่มักเป็นสาวสวย
ครั้นนิยายถูกนำไปสร้างเป็นหนังผีสยองขวัญ ที่คริสเตอร์เฟอร์ ลี สวมบทเคาท์แดร๊กคิวล่า ทำเงินถล่มทลายเพราะคนดูตรึม โลกก็เลยรู้จักปราสาทบรานในฐานะ"ปราสาทแดร๊กคิวล่า"ชักพาให้คนไปเที่ยวตรึมเช่นกัน แล้วพานเข้าใจว่าเป็นปราสาทผีดิบจริงๆ ทั้งๆ ที่มันเป็นเพียงนิยาย เลยเถิดถึงขั้นตามไปดูโบสถ์คริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ บนเกาะกลางทะเลสาบ "ซนากอฟ"ชานกรุงบูคาเรสต์ เมืองหลวงของโรมาเนีย ซึ่งตามประวัติว่าสร้างโดยเจ้าชายวแลด เทเปส และยังเป็นที่ฝังศพของท่าน แต่โปรแกรมทัวร์บอกเป็น "สุสานแดร๊กคิวล่า"
บาทหลวงที่ดูแลโบสถ์นี้ท่านคงรำคาญเต็มทน ที่มีคนมาถามหาหลุมศพแดร๊กคิวล่าอยู่เรื่อย ท่านเลยเขียนคำอธิบายแล้วลงทุนอัดสำเนาแจก เนื้อหามีอยู่ว่า "วแลด เทเปส (Vlad Tepes) ทำไมเขาจึงได้รับสมญานามว่า "แดร๊กคิวลา" เพราะเขาเป็นผีดิบดูดเลือดรึ? ช่างไร้สาระสิ้นดี ลองมาฟังเรื่องนี้ดีกว่า เมื่อ 600 ปีก่อน พวกเติร์กแห่งอาณาจักรออตโตมานกำลังขยายอำนาจ ขณะที่โรมาเนียแบ่งเป็นแคว้นทรานซิลวาเนีย กับแคว้นวาลาเคีย มีเจ้าชายผู้กล้าคนหนึ่ง ชื่อ "วแลดแห่งวาลาเคีย" ปฏิบัติการรุกรบต่อต้านการโจมตีของพวกเติร์กอย่างแข็งขัน จนเป็นที่เลื่องลือในความเก่งกล้า บ้าบิ่น และเหี้ยมโหดต่อศัตรูผู้รุกราน
ยามนั้น ชาวบ้านนิยมเรียกเขาว่า "วแลด แดรคูล" แปลว่า "วแลด เจ้ามังกรผยองเดช" เพราะพ่อของวแลด ได้รับการแต่งตั้งจากพระจักรพรรดิซิกิสมุนด์แห่งนูเรมเบิร์ก ให้เป็น "อัศวินมังกร" (Knight of Dragon's Order) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตกทอดถึงทายาทด้วย เมื่อวแลดขึ้นครองวาลาเคีย และยังเป็นเจ้าชายนักรบผู้กล้า ผู้คนจึงเรียกเขาอย่างภูมิใจว่า "วแลด แดรโค" (Vlad Draco) เพราะ "แดรโค" เป็นภาษาละตินแปลว่า "Dragon" หรือมังกรนั่นเอง ภายหลังจึงเพี้ยนเสียงเป็น "วแลด แดรคูล" (Vlad Dracul) ไม่ใช่ท่านเคาท์แดร๊กคิวล่าจอมดูดเลือดแต่อย่างใดเลย..."
แต่ "วแลด แดรคูล" แห่งแคว้นวาลาเคีย มาเป็นท่าน "เคาท์ แดร๊กคิวล่า" ที่ปราสาทบรานแห่งแคว้นทรานซิลวาเนียได้อย่างไร? สันนิษฐานกันว่า วแลด แดรคูล อาจเคยมาช่วยทรานซิลวาเนียต่อสู้กับพวกเติร์กที่ปราสาทบราน หรือท่านอาจเคยครอบครองปราสาทนี้อยู่ระยะหนึ่ง ก็เลยเอาตำนานความโหดร้ายของท่านมาผูกเรื่องเป็นผีดิบไปเสีย ซึ่งหากท่านโหดร้ายจริง ก็โหดร้ายกับศัตรูผู้รุกราน แล้วมันผิดตรงไหน? ใครๆ ก็รู้ว่าพวกเติร์กสมัยนั้นก็โหดใช่ย่อย ไม่ต้องดูอื่นไกล มีหลักฐานบางเล่มระบุว่าสมเด็จพระนเรศวรก็ทรงโหดเหี้ยมต่อศัตรูและต่อไพร่พลที่หนีทหารหรือแปรพักตร์ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา มิฉะนั้นพระองค์คงกอบกู้บ้านเมืองไม่ได้
ปราสาทแดร๊กคิวล่า จึงถือเป็น "ความจริงที่หลอกลวง" แต่เรื่องนี้ชาวโรมาเนียไม่ได้โวยวายอะไร เพราะความจริงลวงนี้นำเงินตราเข้าประเทศมหาศาล ล่าสุด มีข่าวว่า ทายาทผู้ครองแคว้นทรานซิลวาเนีย (ไม่ใช่ทายาทผีดิบดูดเลือด) ประกาศจะขายปราสาทบรานให้รัฐบาลโรมาเนียเป็นเงินถึง 60 ล้านยูโร หรือแค่ 2,800 กว่าล้านบาท

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553


คลีโอพัตรา ที่ 7 ฟิโลปาตอร์ (Κλεοπάτρα θεά φιλοπάτωρ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ คลีโอพัตรา เกิดในเดือนมกราคม 69 ปีก่อนคริสตกาล - เสียชีวิตในวันที่ 30 พฤศจิกายน 30 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นราชินีแห่งอียิปต์โบราณ และเป็นสมาชิกคนสุดท้ายของราชวงศ์ปโตเลมีแห่งมาเซโดเนีย ดังนั้น จึงเป็นผู้ปกครองอียิปต์ที่มีเชื้อสายกรีกคนสุดท้าย บิดาของพระนางคือปโตเลมีที่ 12 โอเลเตส และคาดว่าพระมารดาเป็นเชษฐภคินีของโอเลเตส ทรงพระนามว่า คลีโอพัตราที่ 5 ทรีฟาเอนา ชื่อ"คลีโอพัตรา" เป็นภาษากรีก แปลว่า "ความเจริญรุ่งเรืองของบิดา" พระนามเต็มของพระนางคือ "คลีโอพัตรา เธอา ฟิโลปาตอร์" ซึ่งหมายถึง "เทพีคลีโอพัตรา ผู้เป็นที่รักของบิดา" พระนางทรงมีความเฉลียวฉลาดมาก ทรงแตกฉานถึง 14 ภาษา เช่น ภาษาฮิบรู ภาษาละติน ภาษามาซิโดเนีย ภาษาเอธิโอเปียน ภาษาซีเรีย ภาษาเปอร์เซีย ภาษาอียิปต์ ซึ่งแม้แต่ในราชวงศ์ก็น้อยคนนักที่จะแตกฉานในภาษานี้
ในปัจจุบัน คลีโอพัตรา ที่ 7 ฟิโลปาตอร์ นับได้ว่าเป็นผู้ปกครองอียิปต์โบราณที่มีชื่อเสียงมากที่สุด นิยมเรียกพระนามสั้นๆ ว่า คลีโอพัตรา ซึ่งทำให้ราชินีองค์ก่อนๆ ที่ทรงพระนามคล้ายคลึงกับพระนางถูกลืมไปสิ้น จริงๆ แล้วพระนางไม่เคยปกครองอียิปต์ตามลำพัง แต่ครองราชย์ร่วมกับพระบิดา พระอนุชา พระอนุชา - สวามี หรือไม่ก็พระโอรส แต่อย่างไรก็ดี การครองราชย์ร่วมกันดังกล่าวมีผู้ร่วมบัลลังก์เป็นเพียงกษัตริย์ตามพระยศเท่านั้น อำนาจแท้จริงอยู่ในมือของคลีโอพัตราเองทั้งสิ้น

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553


กองหินประหลาด ประกอบด้วยกองหินขนาดใหญ่จำนวนถึง 112 ก้อน และแต่ละก้อนทรงสูง บางก้อนล้มนอน บางก้อนตั้งตรง บางก้อนวางทับซ้อนิยู่บนยอด วงหินรอบนอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 100 ฟุต หินที่เรียงรายอยู่ทั้งหมดถึง 30 ก้อน ล้วนแต่ก้อนขนาดมหึมา สูงถึง 13 ฟุต และหนักเป็นตันๆ ทั้งนั้น อายุของหินเล่านี้มีมานาน ตั้งแต่ก่อนสมัยคริสตกาลถึง 1,700 ปี ไม่มีประวัติแจ้งไว้ว่าใครเป็นผู้นำมาวาง และมาวางเพื่อประสงค์อะไร กองหินประหลาดแห่งนี้ อยู่กลางทุ่งนาอันกว้างขวาง แห่งเมืองซัสลิสเบอรี่ มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ ห่างจากกรุงลอนดอนประมาณ 10 ไมล์ ตามทางสันนิฐานของนัวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ว่า กองหินประหลาดแห่งนี้ เป็นแหล่งกำเนิดของการโคจรของพระอาทิตย์ และพระจันทร์ได้ด้วย รัฐบาลอังกฤษ ได้เปิดสถานที่ที่มีกองหินประหลาดนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ในปี ค.ศ. 1918 และจนกระทั่งปัจจุบันนี้ยังมีผู้ไปเที่ยวชมจำนวนมาก และก็จัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกยุคกลาง

สุสานใต้ดินแห่งกรุงโรม


สุสานใต้ดินแห่งกรุงโรม หรือ สุสานรังผึ้งแห่งกรุงโรม (อังกฤษ: Catacombs of Rome) เป็นสุสานโบราณที่สร้างขึ้นเพื่อเก็บศพใต้ดิน[1]ในกรุงโรมหรือใกล้กรุงโรมในประเทศอิตาลี ซึ่งมีด้วยกันอย่างน้อยสี่สิบสุสาน บางสุสานก็เพิ่งพบเมื่อไม่นานมานี้ แม้ว่าจะมีชื่อเสียงว่าเป็นที่เก็บศพของผู้นับถือคริสต์ศาสนา แต่ก็เป็นที่เก็บศพของผู้นับถือศาสนาอื่นด้วยที่รวมทั้งเพกันและศาสนายูดาย บางครั้งก็ในบริเวณเดียวกันหรือบางครั้งก็แยกจากกัน การเก็บศพในสุสานใต้ดินแห่งกรุงโรมเริ่มทำกันมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 2[ต้องการอ้างอิง] ดินภายใต้กรุงโรมเป็นหินทัฟฟ์เหมาะแก่การสร้างอุโมงค์และช่องที่ใช้ในการบรรจุศพ หินทัฟฟ์เป็นหินที่อ่อนที่ขุดง่ายและแข็งตัวเมื่อถูกอากาศ สุสานบางสุสานยาวหลายกิโลเมตรและอาจจะมีด้วยกันถึงสี่ชั้นหรือสี่ระดับ
สุสานใต้ดินของโรมันคาทอลิกมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อ
นักประวัติศาสตร์ศิลปะในการศึกษาศิลปะคริสต์ศาสนาของสมัยคริสเตียนยุคแรกเพราะในสุสานมีตัวอย่างงานจิตรกรรมฝาผนัง และ ประติมากรรมจากราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 5 สุสานใต้ดินของยูดายก็เช่นเดียวกันที่มีความสำคัญในการศึกษาวัฒนธรรมของศาสนายูดายในช่วงเวลาเดียวกัน

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

พึ่งเคยได้ยิน "ตำนานทรพี"


ยักษ์อยู่ตนหนึ่งชื่อ "นนทกาล" มีหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูวังสวรรค์ ของพระศิวะ (เขาไกรลาส) ยักษ์ตนนี้ได้ทำผิดกฏ โดยการปลุกปล้ำนางฟ้านาม "มาลี" นางฟ้าได้นำเรื่องทูล ต่อองค์ศิวะเจ้า พระศิวะทรงกริ้วจึงสาป ให้ยักษ์ไปเกิิดเป็นควาย มีนามว่า "ทรพา" และจะต้องถูกสังหารโดยลูกของตัวเอง ผู้มีชืื่อว่า "ทรพี" หลังจากนั้นจึงจะพ้นคำสาป นนทกาลเกิดเป็นควาย หลายเมีย มันจะฆ่าลูกชายทีีจะเกิดทุกตัว เมียทรพาตัวหนึ่ง หนีไปและได้คลอดลูกที่อื่น ควายตัวนี้ ได้รับการเลี้ยงดูโดยเทวดา เทวดาได้ตั้งชื่อควายตัวนี้ว่า "ทรพี" ทุกวันทรพีจะวัดขนาดกีบของมันกับของพ่อ เมื่อใหญ่เท่ากันจึงถือว่าพร้อมที่จะสู้ ท้ายสุดทรพา ก็ถูกลูกของ ตนฆ่าตาย สำนวนไทย คำว่า "ทรพี" หมายถึงคนที่ไม่รู้จักคุณบิดามารดา "

สิ่งที่พระศิวะลงโทษนั้น สมเหตุสมผลดีมั้ยครับ

เรื่องทรพีนี่ คนที่ควรประณามไม่ใช่ใครหรอกครับ
พระศิวะเองแหละ
ถามหน่อยเหอะ ถ้าพระศิวะไม่ลงโทษยักษ์นนทกาลเช่นนี้ ถามว่า ทรพีจะกลายเป็นลูกฆ่าพ่อหรือไม่
ไม่มีทางแน่ๆ สิ่งที่ยักษ์นนทกาลทำความผิด ก็เป็นเกี่ยวกับเรื่องชู้สาว ไม่ได้ฆ่าพ่อฆ่าแม่หรือว่าผู้มีพระคุณเลย โทษที่ควรได้รับจึงไม่สมควรกับสิ่งที่ตนเองกระทำ ให้ไปเป็นกระเทยหรือว่า ผู้หญิงที่ถูกทำมิดีมิร้ายผมว่ายังเข้าท่ากว่า
ทรพี กับ ทรพา ไม่สามารถฝืนชะตาของตนเองได้เลย ทรพาฆ่าลูกตัวเองไปมากมายเพราะกลัวคำสาปเป็นจริง ทรพีฆ่าพ่อเพราะโกรธแค้น และสภาพชีวิตที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ถามว่าเขาจะเป็นคนดีได้เหรอครับ การขาดความรักจากพ่อ และการต้องมารับรู้ว่าน้องตัวเองถูกฆ่าไปทีละคนๆ มันน่าสงสารมั้ยครับ ผมถามหน่อย สิ่งที่เขาเห็นมีแต่ความโหดร้ายๆและโหดร้าย มันจะหล่อหลอมให้เขาเป็นคนดีได้เหรอครับ
แล้วยิ่งเทวดาก็เข้ามาเสริมกำลังให้ทรพีด้วยยิ่งเข้าไปใหญ่เลย ประมาณว่า ราดน้ำมันลงในกองไฟเข้าไปอีก คราวนี้ก็มันส์ละครับ
ผมขอรับรองเลยว่า เรื่องนี้คนผิดคือพระศิวะ ที่ส่งคำสาปบ้าๆที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความผิดของนนทกาลเลย และคนที่ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาปไปตลอดชีวิตก็คือ ทรพี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ น่าสงสารมั้ยครับ ต้องฆ่าเพราะโชคชะตากำหนด และสภาพสังคม
บางที ทรพี กับ ทรพาไม่ควรเป็นควายด้วยซ้ำ เป็นแพะไปเลยยังจะเข้าทีกว่า (รันทดหนักเข้าไปอีก)
ฉะนั้น สิ่งที่พาลี หรือใครๆต่อใครๆ ตราหน้าว่า ทรพีเป็นลูกเนรคุณ จึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
ในโลกนี้ยังมีคนอีกเยอะ ที่ถูกประณามว่าเป็นคนเลว ทั้งที่ความจริง เขาไม่สมควรจะถูกประณามหยามเหยียดแบบนี้ แต่จะมีสักกี่คน ที่มองลึกไปในตัวของแพะเหล่านั้นว่า เขาทำไปทำไม ทำไมเขาจึงไม่สามารถเลือกทางเดินที่ดีได้
แต่ในสังคมที่การบิดเบือนและการมองคนที่ผิวเผินกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนนิยมชมชอบและได้รับการยอมรับในสังคม แพะก็ย่อมกลายเป็นแพะอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
น่าเศร้าที่คนเลวๆหรือว่าคนที่ไม่ควรได้รับการยกย่อง กลับเชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคมและวรรณกรรมได้ ยิ่งคิดยิ่งเศร้าใจ

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

สุสานแปร์ลาแชส ( Pere Lachaise )


สุสานแปร์ ลาแชส Pere Lachaise เดิมมีชื่อว่า สุสานฝั่งตะวันออก เป็นสุสานที่ใหญ่ที่สุดของกรุงปารีส มีพื้นที่กว่า 118 เอเคอร์ ตั้งอยู่ในเขตที่ 20 เป็นชื่อของบาทหลวง Pere Francois de la Chaise (1624-1729) ก่อสร้างโดยนโปเลียน ในปี 1804 มีหลุมฝังศพทั้งสิ้นกว่า 33,000 หลุม จำนวนศพที่ฝังอยู่มีไม่ต่ำกว่า 300,000 ศพ (สมาชิกครอบครัวเดียวกันฝังศพซ้อนกันหลายศพเป็นชั้นๆ ลึกลงไปในดิน)สุสานนี้ เป็นที่ฝังศพของผู้มีชื่อเสียงในสาขาต่างๆ อาทิ การเมือง วิทยาศาสตร์ ดนตรี วรรณกรรม จิตรกรรม ฯลฯ ทั้งชาวฝรั่งเศสและชาวต่างชาติที่เสียชีวิตในประเทศฝรั่งเศส ในช่วงเวลา 200 ปีที่ผ่านมาก้าวเท้าเข้าไปในสุสาน เหมือนเข้าไปอยู่ในสวนสาธารณะ บรรยากาศร่มรื่น สงบเงียบ มีไม้ดอก ไม้ยืนต้น ปลูกเรียงรายอย่างสวยงามทั่วบริเวณ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่มีผู้คนจากทุกสารทิศทั่วโลกเดินทางมาที่นี่ โดยเฉพาะในวันหยุดสุดสัปดาห์ สุสานแห่งนี้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของครอบครัวชาวฝรั่งเศสการวางผังสุสานเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างยิ่ง โดยแบ่งเป็น 97 เขต มีถนนตัดผ่านทุกเขต ผู้เข้าชมจะได้รับแจกแผนผังของสุสานที่จัดพิมพ์โดยเทศบาลกรุงปารีส แสดงจุดที่ตั้งหลุมฝังศพต่างๆ อย่างละเอียด เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่จะเข้าไปเยี่ยมชม ซึ่งส่วนใหญ่ต้องเดิน มีข้อยกเว้นสำหรับผู้ขออนุญาตพิเศษที่นำรถยนต์เข้ามาได้ โดยจำกัดความเร็วไม่เกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมงข้อกำหนดในการเข้าชมสุสาน ยังมี อาทิ ห้ามนำสัตว์ทุกชนิดเข้ามาในสุสาน ห้ามเหยียบย่ำบนหลุมฝังศพและสนามหญ้า ดอกไม้สดที่นำไปวางบนหลุมฝังศพ ต้องเป็นช่อดอกไม้ที่ไม่ห่อหุ้มด้วยพลาสติคเวลาเปิด-ปิดประตูสุสาน แบ่งเป็น 2 ฤดูกาล ฤดูร้อนเปิด 08.00 น. ปิด 18.00 น. ฤดูหนาว เปิด 09.00 น. ปิด 17.30 น.มีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน Metro 3 สถานีที่อยู่ไม่ไกลจากประตูทางเข้าทั้ง 3 ด้านของสุสาน คือ สถานี Gambetta สถานี Pere Lachaise และ สถานี Philippe Augusteใกล้ๆ กับสถานี Gambetta มีร้านขายดอกไม้ที่พนักงานขายเป็นคนไทย



หลุมศพศิลปินที่น่าสนใจ ไปเยี่ยมคารวะมี อาทิ



อร์จ บิเซ Georges Bizet (1838-1875)เขาเป็นนักแต่งเพลงในยุคโรแมนติค เกิดที่กรุงปารีส จบการศึกษาจาก สถาบันดนตรีชั้นสูงของกรุงปารีส Paris Conservatoire Nationale de Music มีผลงานประพันธ์อุปรากรมากมาย อาทิ Les Pecheurs de perles ประพันธ์ในปี ค.ศ.1863 Carmen ประพันธ์ในปี ค.ศ.1875 เป็นอุปรากรที่ประสบผลสำเร็จในการแสดงทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีผลงานซิมโฟนี เช่น Symphony in C Major เพลงเดี่ยวเปียโน เพลงร้อง และเพลงร้องประสานเสียง ฯลฯBizet เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย เมื่อมีอายุเพียง 36 ปี ศพของเขาฝังอยู่ เขตที่ 68 ภายในสุสานนี้



เออแชน เดอลาครัว Eugene Delacroix (1798-1863)จิตรกรที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในยุคโรแมนติคของฝรั่งเศส ผลงานของเขามี อาทิ ภาพเหมือนบุคคลต่างๆ ภาพเกี่ยวกับคริสต์ประวัติ ภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ภาพจากวรรณกรรม เป็นต้น ที่โดดเด่นที่สุดคือ ภาพ เสรีภาพนำประชาชน LA LIBERTE GUIDANT LE PEUPLE ที่วาดไว้เมื่อ ค.ศ.1830 และภาพใบหน้า Frederic - Francois CHOPIN วาดเมื่อ ค.ศ.1833 ซึ่งเป็นภาพเหมือนกลุ่มศิลปินในยุคนั้น ภาพทั้งสองนี้ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Louvre กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสศพของ Delacroix ฝังอยู่ในเขตที่ 49 ภายในสุสาน